นักเศรษฐศาสตร์มากกว่าครึ่งที่ได้รับการสำรวจโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับการอ่อนค่าของเงินเยนกระตุ้นให้ผู้กำหนดนโยบายต้องดำเนินการ
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ระบุว่า BOJ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปหลังชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดเตรียมรับมือกับนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้ออย่างมาก
ผลสำรวจระหว่างวันที่ 13-21 พ.ย.ซึ่งเผยแพร่ในวันนี้ (22 พ.ย.) พบว่า 56% ของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหมด หรือ 29 จาก 52 คนคาดว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในสิ้นปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 49% ในผลสำรวจเมื่อเดือนที่แล้ว โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 0.25% สู่ระดับ 0.50%
นักวิเคราะห์ระบุว่า เศรษฐกิจและเงินเฟ้อปรับตัวสอดคล้องกับคาดการณ์ของ BOJ ขณะที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่ลดลงและการอ่อนค่าของเงินเยนนั้น อาจกระตุ้นให้ BOJ ทำการปรับอัตราดอกเบี้ย
"หาก BOJ ไม่ดำเนินการในเดือนธ.ค. ก็มีความเสี่ยงที่เงินเยนจะอ่อนค่าลงอีกภายในสิ้นเดือนม.ค. 2568 ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งถัดไป และ BOJ อาจตอบสนองได้ไม่ทันต่อสถานการณ์" คาสึทากะ มาเอดะ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยเมจิ ยาสุดะ กล่าว
ทั้งนี้ เงินเยนที่อ่อนค่าซึ่งทำให้ต้นทุนการนำเข้าและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นนั้น เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ BOJ ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา