ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนต.ค.ในวันนี้ (24 ธ.ค.) โดยระบุว่า คณะกรรมการ BOJ เห็นพ้องในการประชุมเมื่อวันที่ 30-31 ต.ค. ในการคงอัตราดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการคาดการณ์ แต่กรรมการบางคนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้ความระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ
การอภิปรายในการประชุมวันดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า กรรมการ BOJ เล็งเห็นว่าความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่นั้น อาจเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจว่า BOJ จะสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้รวดเร็วเพียงใด
แม้การประชุมเมื่อวันที่ 30-31 ต.ค.จะมีขึ้นก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 พ.ย. แต่รายงานการประชุมแสดงให้เห็นว่า กรรมการ BOJ ได้เตือนว่าความผันผวนในตลาดที่อาจจะเกิดขึ้นอีกและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นกับนโยบายสหรัฐฯ นั้น ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
ในทางกลับกัน กรรมการ BOJ ส่วนใหญ่มีมุมมองบวกต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยรายงานการประชุมระบุว่า กรรมการหลายคนจากทั้งหมด 9 คนของ BOJ กล่าวว่าแนวโน้มการปรับขึ้นค่าจ้างจะช่วยสนับสนุนการบริโภคและทำให้ญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ของ BOJ อย่างยั่งยืน
ในการประชุมเมื่อวันที่ 30-31 ต.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการ BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด พร้อมกับเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อ โดยคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมราคาอาหารสด จะอยู่ที่ระดับ 2.5% ในปีงบประมาณปัจจุบันที่สิ้นสุดในเดือนมี.ค. 2568 ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี BOJ ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสำหรับปีงบประมาณ 2568 ลงสู่ระดับ 1.9% จากระดับ 2.1% โดยต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพของ BOJ ที่ระดับ 2%
การที่ BOJ คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำในการประชุมวันดังกล่าว นับเป็นการส่งสัญญาณว่า BOJ จำเป็นต้องประเมินพัฒนาการทางเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างรอบคอบ และยังสะท้อนให้เห็นว่า BOJ มุ่งเน้นไปที่การจับตาความเสี่ยงที่จะมีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินครั้งต่อไป