ราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตา กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (6 มี.ค.) ว่า นโยบายใหม่ ๆ ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะผันผวนอย่างมาก และบ่งชี้ว่าเฟดอาจต้องรอจนถึงปลายฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.-พ.ค.) หรือฤดูร้อน (มิ.ย.-ส.ค.) จึงจะมีความชัดเจนเพียงพอในการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
"ขณะนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง และในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ การจะระบุให้แน่ชัดว่าสถานการณ์จะไปจบลงที่จุดใดนั้นเป็นเรื่องยาก" บอสติกกล่าวในการประชุมที่จัดโดยเบอร์มิงแฮม บิซิเนส เจอร์นัล (Birmingham Business Journal) พร้อมระบุปัจจัยที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น นโยบายภาษีศุลกากร นโยบายการค้า อัตราเงินเฟ้อที่ผันผวน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง นโยบายการย้ายถิ่นฐานที่ส่งผลต่อตลาดแรงงาน นโยบายพลังงาน นโยบายภาษี การใช้จ่ายของภาครัฐ และภูมิรัฐศาสตร์
"ผมจะรู้สึกแปลกใจ หากเรามีความชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจได้ก่อนปลายฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูร้อน" เขากล่าว "ดังนั้น เราต้องอดทนรอดูต่อไป"
เฟดมีกำหนดประชุมกำหนดนโยบายการเงินครั้งถัดไปในวันที่ 18-19 มี.ค.นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ในช่วงปัจจุบันที่ 4.25%-4.50%
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา เขาได้ออกมาตรการภาษีศุลกากรหลายครั้งและตามมาด้วยการผ่อนปรนบางส่วน ซึ่งสร้างความผันผวนให้กับภาคอุตสาหกรรมและตลาดการเงิน จนทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นและมากขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้
ขณะนี้สัญญาฟิวเจอร์สอัตราดอกเบี้ยบ่งชี้ว่า มีโอกาสมากกว่า 50% ที่เฟดจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐฯ ลงในเดือนพ.ค. และอาจมีการปรับลดอีกสองครั้งภายในปีนี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่เฟดเคยคาดการณ์เมื่อปลายปีที่แล้วว่าเฟดอาจจะลดอัตราดอกเบี้ยเพียงสองครั้งเท่านั้นในปีนี้