ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคซึ่งจัดทำโดยสถาบันเวสต์แพค เมลเบิร์น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.5% ในเดือนส.ค. แตะระดับ 105.7 จุดจาก 102.1 เมื่อเดือนก.ค.
ดัชนีความเชื่อมั่นที่สูงกว่าระดับ 100 สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกที่มีต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยนายบิล อีวานส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเวสต์แพคระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนที.ค.
เขากล่าวในแถลงการณ์ว่า "อย่างไรก็ตาม ระดับดังกล่าวยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อปี 2553 อยู่ 7% ในตอนที่ภาคครัวเรือนนั้นมีมุมมองในเชิงบวก โดยคาดว่าผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกได้ผ่านพ้นไปแล้ว"
อีวานส์ชี้ว่า ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคได้รับแรงหนุนจากหลายๆปัจจัยสำคัญ
เขากล่าวว่า "ปัจจัยที่สำคัญที่สุดได้แก่นโยบายของธนาคารกลาง ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนลง 0.25% และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำนอง อีกทั้งการประกาศผลการเลือกตั้งในวันที่ 7 ก.ย. การออกแถลงการณ์เศรษฐกิจของรัฐบาลที่ระบุถึงสถานการณ์ทางการเงินที่ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียที่แข็งค่าขึ้นต่ำกว่าระดับสูงสุดเมื่อเดือนเม.ย. อยู่ราวๆ 15%"
อีวานส์เผยผลการสำรวจในเดือนส.ค.บ่งชี้ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มส่งผลให้ความเชื่อมั่นมีการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
เขาเสริมว่า "สื่งที่สามารถยืนยันผลกระทบในทางบวก จากการปรับลดดอกเบี้ยอีกอย่างหนึ่งนั้นเห็นได้จากเสียงตอบรับของประชาชนที่มีสัญญาจำนอง ซึ่งมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น 7.4%"
ผลการสำรวจยังเผยว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาคการเคหะดีดตัวขึ้น 3.7% โดยผู้ตอบแบบสำรวจให้ความเห็นว่า "ถึงเวลาซื้อบ้านแล้ว"
อีวานส์ในตอนท้ายว่า "การปรับลดอัตราดอกเบี้ยดูเหมือนจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นทางการเงินในภาคครัวเรือน" สำนักข่าวซินหัวรายงาน