ยอดนำเข้ารถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถจากสหภาพยุโรป ได้ทะยานขึ้นถึง 81.1% หลังเกิดความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีการปรับเพิ่มภาษีการบริโภคจาก 3% เป็น 8% ในเดือนเม.ย.นี้
ในขณะเดียวกัน ยอดส่งออกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 9.8% แตะ 5.8 ล้านล้านเยน หลังเงินเยนอ่อนค่าลงเทียบดอลลาร์สหรัฐ 12.4% เทียบรายปี แตะระดับ 102.83 เยนในเดือนเดียวกัน แต่การส่งออกยังคงต่ำกว่ายอดนำเข้า
เงินเยนที่อ่อนค่าลงนั้นมักจะหนุนการส่งออก เนื่องจากทำให้ราคาสินค้าจากญี่ปุ่นถูกลงในต่างประเทศและเพิ่มมูลค่ารายได้ในต่างประเทศในรูปสกุลเงินเยน แต่ก็ยังทำให้ราคานำเข้าสูงขึ้นด้วยเช่นกัน โดยความต้องการพลังงานของญี่ปุ่นจะขึ้นอยู่กับการนำเข้าพลังงานในสัดส่วนกว่า 90%
บรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่าญี่ปุ่นยังคงมีแนวโน้มขาดดุลการค้าอยู่ เนื่องจากความต้องการทรัพยากรธรรมชาตินั้นยังคงอยู่ในระดับสูงในภาคการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซึ่งต้องหยุดการผลิตไป อันเป็นผลจากอุบัติเหตุที่โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะเมื่อเดือนมี.ค.2554
ยอดส่งออกไปยังจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 27.7% แตะ 1.0749 ล้านล้านเยน ขณะที่ยอดนำเข้าจากจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.7% แตะ 1.1856 ล้านล้านเยน โดยญี่ปุ่นขาดดุลการค้ากับจีนเป็นจำนวน 1.108 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นการขาดดุลติดต่อกันถึง 24 เดือน
ยอดส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.6% แตะ 1.0636 ล้านล้านเยน ขณะที่ยอดนำเข้าปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.8% แตะ 5.799 แสนล้านเยน สำนักข่าวเกียวโดรายงาน