ตลาดการเงินคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนส.ค.
CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นถึง 52.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ จากระดับ 41.3% ก่อนที่จะมีการเปิดเผยตัวเลขดัชนี CPI
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี CPI ดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนก.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี CPI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้น 6.3% ของราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. หลังจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์พัดถล่มรัฐเท็กซัสของสหรัฐ จนทำให้โรงกลั่นน้ำมันจำนวนมากต้องปิดการดำเนินงานชั่วคราว
ดัชนี CPI ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าว บ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากปรับขึ้นในเดือนมี.ค. และมิ.ย.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 1.9% ในเดือนส.ค. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.8% หลังจากปรับตัวขึ้น 1.7% ในเดือนก.ค.
หากไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดัชนี CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.1% เป็นเวลา 4 เดือนติดต่อกัน
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พื้นฐานปรับตัวขึ้น 1.7% ในเดือนส.ค. โดยเป็นการดีดตัวขึ้น 1.7% เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน