รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานเดือนส.ค. ซึ่งไม่รวมเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมต่อเรือและสาธารณูปโภค เพิ่มขึ้น 6.8% จากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 9.815 แสนล้านเยน (8.7 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นระดับสุงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2551 โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในภาคการผลิต
สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ปรับเพิ่มการประเมินยอดสั่งซื้อเครื่องจักรเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยระบุว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักร "กระเตื้องขึ้น" ส่วนในเดือนก.ค.ซึ่งยอดสั่งซื้อเครื่องจักร พุ่งขึ้น 11% นั้น สำนักงานคณะรัฐมนตรีได้ประเมินว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักร "กระเตื้องขึ้น แต่ยังคงซบเซา"
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทเอกชนเต็มใจที่จะลงทุนในสินค้าประเภททุน ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตโดยมีอุปสงค์ภายในประเทศเป็นปัจจัยหนุน
ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรจากภาคการผลิต ปรับตัวขึ้น 6.6% แตะที่ 4.551 แสนล้านเยน โดยได้ปัจจัยหนนุจากความแข็งแกร่งของอุปสงค์เหล็กและเหล็กกล้า รวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์
ขณะที่ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรจากอุตสาหกรรมนอกภาคการผลิต เพิ่มขึ้น 6% แตะที่ระดับ 5.235 แสนล้านเยน ซึ่งปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง
ส่วนความต้องการเครื่องจักรของญี่ปุ่นในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยชี้วัดการส่งออกในอนาคตนั้น เพิ่มขึ้น 7.8% แตะที่ 1.06 ล้านล้านเยน