การส่งออกของอินโดนีเซียชะลอการขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนม.ค. หลังอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่ที่สุดของโลก สั่งห้ามการส่งออกถ่านหิน ซึ่งเป็นการดำเนินการที่เหนือความคาดหมาย และทำให้บรรดาประเทศผู้นำเข้า เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ออกมาร้องเรียนในเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ สำนักงานสถิติอินโดนีเซียเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดส่งออกเติบโต 25.31% เมื่อเทียบรายปีในเดือนม.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 33.86% ในผลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์
ตัวเลขส่งออกเดือนม.ค.เป็นการปรับตัวขึ้นที่ชะลอตัวที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมดอยู่ที่ 1.916 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2564
ขณะที่มูลค่าการนำเข้าปรับตัวขึ้น 36.77% แตะที่ 1.823 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 51.83% ในผลสำรวจของรอยเตอร์
ยอดเกินดุลการค้าเดือนม.ค.ของอินโดนีเซียอยู่ที่ประมาณ 930 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการเฉลี่ยที่ 190 ล้านดอลลาร์ในผลสำรวจของรอยเตอร์ เนื่องจากการนำเข้าเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวมากกว่าคาด
อินโดนีเซียสั่งระงับการส่งออกถ่านหินทั้งหมดในวันที่ 1 ม.ค. เพราะปริมาณถ่านหินในคลังของโรงงานไฟฟ้าภายในประเทศอยู่ในระดับต่ำมาก แต่ก็ได้ทยอยอนุญาตให้เริ่มส่งออกถ่านหินแบบค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. และยังคงสั่งห้ามการส่งออกสำหรับเหมืองที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดการจำหน่ายภายในประเทศ
อินโดนีเซียรายงานยอดเกินดุลการค้าทุกเดือนนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปี 2563 เพราะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มขาขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หลังนานาประเทศยกเลิกการบังคับใช้มาตรการสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19