สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานในวันนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนเพิ่มขึ้นเพียง 3.9% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2563 และชะลอตัวลงอย่างมากจากเดือนมี.ค.ที่มีการขยายตัว 14.7%
ส่วนยอดนำเข้าทรงตัวในเดือนเม.ย. หลังจากที่ลดลง 0.1% ในเดือนมี.ค. และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะหดตัวลง 3%
ทั้งนี้ จีนมียอดเกินดุลการค้าในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 5.112 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 5.065 หมื่นล้านดอลลลาร์ และสูงกว่าในเดือนมี.ค.ซึ่งจีนมียอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 4.738 หมื่นล้านดอลลาร์
รายงานยังระบุด้วยว่า ยอดการส่งออกจากจีนไปยังรัสเซียในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. พุ่งขึ้น 11.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าสินค้าจากรัสเซียร่วงลง 37.8%
เศรษฐกิจจีนยังคงได้รับแรงกดดันจากการที่รัฐบาลเดินหน้าใช้มาตรการล็อกดาวน์เมืองสำคัญ ซึ่งรวมถึงเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินของจีน โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เซี่ยงไฮ้รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต่ำสุดในรอบกว่า 6 สัปดาห์ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเซี่ยงไฮ้ซึ่งมีประชากรจำนวนมากถึง 25 ล้านคนจะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ในเร็ว ๆ นี้
ทางด้านกรุงปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีน สั่งปิดสถานีบริการรถไฟใต้ดินกว่า 40 สถานี และปิดเส้นทางเดินรถประจำทาง 158 เส้นทาง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กรุงปักกิ่งต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์เช่นเดียวกับเซี่ยงไฮ้
การประกาศล็อกดาวน์และการใช้มาตรการที่เข้มงวดตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์กำลังส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของภาคการผลิตเดือนเม.ย.ของจีนร่วงลงสู่ระดับ 47.4 จากระดับ 49.5 ในเดือนมี.ค. ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการทรุดตัวลงสู่ระดับ 41.9 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 48.4 ในเดือนมี.ค. ทั้งนี้ ดัชนีที่อยู่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่า ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของจีนเผชิญภาวะหดตัว