สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ของจีนร่วงลง 11.1% ในเดือนเม.ย. ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 6.1% และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.ลดลง 2.9% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%
ส่วนยอดค้าปลีกในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ลดลง 0.2% และการผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง 4 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 4%
รายงานของ NBS ยังระบุด้วยว่า การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 6.8% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 7%
สำหรับอัตราว่างงานของจีนในเดือนเม.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับ 6.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2563 จากระดับ 5.8% ในเดือนมี.ค.
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในเดือนเม.ย.บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินของจีน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายใต้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
อย่างไรก็ดี เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยจะอนุญาตให้ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร และร้านทำผม เริ่มกลับมาดำเนิการได้อีกครั้งตั้งแต่วันนี้ (16 พ.ค.) หลังจากที่ธุรกิจเหล่านี้ถูกล็อกดาวน์เป็นเวลานานหลายสัปดาห์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายใต้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีน
นายเฉิน ตง รองนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ห้างสรรสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และร้านทำผม จะได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง โดยให้อยู่ภายใต้การจัดการที่เป็นระเบียบซึ่งรวมถึงการจำกัดจำนวนผู้รับบริการ ส่วนตลาดค้าผักผลไม้และสินค้าเกษตรจะอนุญาตให้เปิดดำเนินการเช่นกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนด "ห้ามสัมผัส" เมื่อมีการทำธุรกรรมซื้อขาย ขณะที่ภัตตาคารจะได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการสำหรับลูกค้าที่ซื้ออาหารกลับบ้าน