กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนต.ค.ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 25.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของยอดส่งออกรถยนต์, ชิป และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 20
ส่วนยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 53.5% ซึ่งปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 21 โดยได้ปัจจัยหนุนจากการนำเข้าน้ำมันดิบ, ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งส่งผลให้ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการค้าในเดือนต.ค. 2.16 ล้านล้านเยน (1.55 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นการขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การขาดดุลการค้าเป็นเวลานานสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ไม่มากนัก โดยล่าสุดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ของญี่ปุ่นหดตัวลง 1.2% ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 1 ปี และสวนทางกับการคาดการณ์ของตลาด โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทรุดตัวลงของค่าเงินเยน
เมื่อแยกเป็นรายประเทศพบว่า ยอดส่งออกไปยังสหรัฐในเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 36.5% เมื่อเทียบรายปี โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกรถยนต์
ขณะที่ยอดส่งออกไปยังจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นเพียง 7.7% ในเดือนต.ค. ซึ่งการชะลอตัวของยอดส่งออกไปยังประเทศจีนอาจทำให้ตลาดวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการโควิดเป็นศูนย์ที่มีต่อการส่งออกของญี่ปุ่น และเศรษฐกิจทั่วโลก