กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยในวันจันทร์ (12 ธ.ค.) ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณเดือนพ.ย.ของสหรัฐพุ่งขึ้นถึง 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% แตะที่ 2.49 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งถือเป็นระดับประวัติการณ์สำหรับเดือนพ.ย. เนื่องจากรายได้ลดน้อยลง และรายจ่ายด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และอัตราดอกเบี้ยของหนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
รายได้สำหรับเดือนพ.ย.ลดลง 10% หรือ 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ แตะที่ 2.52 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ รายจ่ายเพิ่มขึ้น 6% หรือ 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ แตะที่ 5.01 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย.
ปัจจัยที่ทำให้รายได้ลดลงในเดือนพ.ย.นั้นเกิดจากการปรับตัวลดลง 4% ของรายได้ภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับส่วนบุคคล รวมถึงการปรับตัวขึ้น 64% ของการขอคืนเงินภาษีส่วนบุคคล และการปรับลดลง 98% ของรายได้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ขณะเดียวกัน ปัจจัยที่ทำให้รายจ่ายพุ่งขึ้นคือการปรับตัวขึ้น 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 18% ของต้นทุนโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาลและการปรับขึ้น 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 94% ของต้นทุนการศึกษาจากผลพวงของการเปลี่ยนแปลงโครงการปล่อยสินเชื่อนักศึกษาโดยตรงและโครงการยกหนี้ให้กับผู้ทำงานเพื่อสาธารณชน
นอกจากนี้ ต้นทุนอัตราดอกเบี้ยหนี้สาธารณะของสหรัฐได้พุ่งขึ้น 53% หรือ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. แต่ส่วนใหญ่ได้รับการชดเชยจากการปรับลดลง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในเครดิตภาษีสำหรับเด็กและแรงงานรายได้น้อย สำหรับช่วง 2 เดือนแรกของปีการคลัง 2566 ซึ่งเริ่มต้นในเดือนต.ค.ปี 2565 การชำระอัตราดอกเบี้ยของกระทรวงการคลังสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 87%
ด้านยอดขาดดุลสำหรับช่วง 2 เดือนแรกของปีการคลัง 2566 ลดลง 6% หรือ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แตะที่ 3.36 แสนล้านดอลลาร์ โดยรายจ่ายลดลง 2% และรายได้เพิ่มขึ้น 1% เทียบกับเป็นรายปี