ข้อมูลจากนักวิเคราะห์และอุตสาหกรรมบ่งชี้ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของสหรัฐกำลังเติบโตขึ้นในช่วงไตรมาสล่าสุด แต่ยังไม่เร็วพอที่จะหยุดยั้งไม่ให้รถไฟฟ้าที่ขายไม่ออกจำนวนมากตกค้างอยู่กับตัวแทนจำหน่ายของผู้ผลิตรถยนต์บางราย หรือเพื่อให้เทสลาสามารถหลีกเลี่ยงการปรับลดราคาครั้งใหม่
จำนวนรถ EV ในสต็อกที่เพิ่มขึ้นและการปรับลดราคาอาจแสดงถึงการเติบโตของตลาดรถ EV ที่หยุดชะงักในระยะสั้น แต่ก็อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า การเพิ่มยอดขายรถ EV ของสหรัฐให้สูงกว่าระดับส่วนแบ่งตลาด 7% ในปัจจุบันนั้น จะมีค่าใช้จ่ายสูงและยากลำบากกว่าที่คาดไว้ แม้ว่าจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางและรัฐก็ตาม
ผู้ผลิตรถยนต์ในอเมริกาเหนือมีเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในด้านรถ EV โดยขึ้นอยู่กับว่า ทิศทางในไตรมาสต่อ ๆ ไปจะเป็นเช่นไร หากการผลิตรถ EV ยังคงสูงกว่าความต้องการ ผู้ผลิตรถยนต์จะต้องเลือกระหว่างการหั่นราคาและลดอัตรากำไรลง หรือ ชะลอการผลิต
บริษัทที่ปรึกษาออโตฟอร์แคสต์ โซลูชันส์ คาดการณ์ว่า จะมีรถ EV รุ่นใหม่ ๆ มากกว่า 90 รุ่นเข้าสู่ตลาดสหรัฐจนถึงปี 2569 โดยนักวิเคราะห์มองว่า ผู้ผลิตหลายรายต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อทำยอดขายให้ได้กำไร
รายงานจากบริษัทคอกซ์ โอโตโมทีฟ (Cox Automotive) ระบุว่า ตัวแทนจำหน่ายของผู้ผลิตรถยนต์ อาทิ เจเนอรัล มอเตอร์ส, ฟอร์ด, ฮุนได และโตโยต้าซึ่งมีรถ EV ที่ขายไม่ออกนั้น จะต้องใช้เวลามากกว่า 90 วันเพื่อขายรถเหล่านั้น โดยพิจารณาจากอัตราการขายในปัจจุบัน
คอกซ์ระบุว่า ตัวแทนจำหน่ายในสหรัฐมีรถ EV มากกว่า 92,000 คันในสต็อก ซึ่งมากกว่า 3 เท่าของจำนวนสต็อกเมื่อปีที่แล้ว และโดยรวมแล้ว รถ EV ใหม่ในสต็อกเพิ่มขึ้น 74% จากปีที่แล้ว