ยอดส่งออกของญี่ปุ่นลดลงเป็นครั้งแรกในเดือนก.ค.ในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง เนื่องจากอุปสงค์สำหรับสินค้าบางประเภทลดลง อาทิ น้ำมันดิบชนิดเบาและอุปกรณ์ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ ซึ่งตอกย้ำความวิตกว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากตลาดหลัก ๆ อย่างประเทศจีนอ่อนแอลง
กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (17 ส.ค.) บ่งชี้ว่า การส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนก.ค.ลดลง 0.3% เมื่อเทียบรายปี โดยลดลงน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดไว้ว่าอาจลดลง 0.8% ขณะที่การส่งออกในเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบรายปี
สำหรับการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในเดือนก.ค.นั้น ญี่ปุ่นส่งออกไปยังจีนที่เป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดลดลง 13.4% เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากยอดการส่งออกรถยนต์, เหล็กกล้าไร้สนิม และชิปวงจรรวม ลดลง
ในทางตรงกันข้าม ญี่ปุ่นส่งออกไปยังประเทศสหรัฐที่เป็นพันธมิตรหลักเพิ่มขึ้น 13.5% เมื่อเทียบรายปี โดยมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นำโดยการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยานยนต์
ญี่ปุ่นนำเข้าลดลง 13.5% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งน้อยกว่าที่มีการคาดการณ์ว่าอาจลดลง 14.7%
ยอดนำเข้า-ส่งออกดังกล่าวส่งผลให้ญี่ปุ่นพลิกกลับมาขาดดุลการค้าอยู่ที่ 7.87 หมื่นล้านเยน (537.27 ล้านดอลลาร์) สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเกินดุลการค้าที่ 2.46 หมื่นล้านเยน
ขณะเดียวกัน สำนักงานคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นออกรายงานยอดสั่งซื้อเครื่องจักรเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นตัวชี้วัดรายจ่ายประเภททุน (Capex) ของบริษัทต่าง ๆ ในอีก 6-9 เดือนข้างหน้านั้น เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายเดือน แต่หดตัวลง 5.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี
โดยรวมแล้ว ชุดข้อมูลนี้เผยให้เห็นถึงความอ่อนแอในภาคการส่งออกของญี่ปุ่น ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกในการค้ำจุนเศรษฐกิจของประเทศและเพื่อชดเชยการบริโภคในภาคเอกชนที่ลดลงเนื่องจากราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจหดตัวทั่วโลกและการเติบโตที่ชะลอตัวลงในตลาดสำคัญอย่างจีนสร้างความวิตกว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะไม่สดใส