ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ระบุว่า ขณะนี้ตลาดรถยนต์อยู่ในสภาพ "ซบเซา" และเผชิญการแข่งขันด้านราคาที่ดุเดือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนรถยนต์ไฟฟ้า
กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ตั้งแต่ฟอร์ดไปจนถึงเทสลาต่างประกาศปรับลดราคาขายตลอดทั้งปีในตลาดต่าง ๆ ตั้งแต่สหรัฐจนถึงจีน เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่ได้เคลื่อนไหวตามกระแสดังกล่าว เนื่องจากบริษัทมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มผลกำไรมากกว่ายอดขาย
อย่างไรก็ตาม เมอร์เซเดส-เบนซ์ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น อุปสรรคจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมูลค่า 329 ล้านยูโร และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 3/2566 ลดน้อยลง พร้อมสะท้อนถึงปอร์เช่ที่ออกมาเตือนในระหว่างรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2566 เมื่อวันอังคาร (24 ต.ค.) ว่า ภาคธุรกิจสินค้าหรูหราก็หนีไม่พ้นปัญหาเศรษฐกิจระดับมหภาค
กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป ร่วงลง 6.8% สู่ระดับ 4.8 พันล้านยูโร (5.1 พันล้านดอลลาร์) ขณะที่ รายได้ลดลง 1.4% สู่ระดับ 3.72 หมื่นล้านยูโร