ซี-อินเทลลิเจนซ์ (Sea-Intelligence) บริษัทที่ปรึกษาด้านห่วงโซ่อุปทานทางทะเลชั้นนำออกมาเตือนว่า การขนส่งที่หยุดชะงักจากการโจมตีของกลุ่มกบฏฮูตีในทะเลแดงกำลังสร้างความเสียหายแก่ห่วงโซ่อุปทานมากกว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระยะแรก
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ซี-อินเทลลิเจนซ์ได้วิเคราะห์ความล่าช้าของเรือขนส่งสินค้าในปัจจุบันเทียบกับความล่าช้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในรายงานสำหรับลูกค้า ซึ่งผลการวิเคราะห์บ่งชี้ว่า ระยะเวลาการขนส่งที่ยาวนานขึ้นจากการเดินทางอ้อมแหลมกู๊ดโฮปของเรือขนส่งที่ต้องหลีกเลี่ยงการเดินเรือในทะเลแดงนั้น ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อจำนวนเรือที่สามารถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ได้ มากกว่าในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งมาตรวัดห่วงโซ่อุปทานดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในแวดวงอุตสาหกรรมว่าเป็น "ความจุเรือ" (vessel capacity)
นายอลัน เมอร์ฟี ซีอีโอของซี-อินเทลลิเจนซ์กล่าวว่า ความจุเรือลดลงมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีเพียงเหตุการณ์เดียวที่ส่งผลกระทบใหญ่กว่าวิกฤตทะเลแดงนั่นคือ เหตุการณ์ที่เรือเอเวอร์ กิฟเว่น (Ever Given) ซึ่งเป็นเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่เกยตื้นขวางคลองสุเอซนานถึง 6 วันในเดือนมี.ค. 2564 และทำให้การค้ามูลค่าหลายพันล้านต้องหยุดชะงักระหว่างที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งหากไม่นับรวมเหตุการณ์ดังกล่าว วิกฤตทะเลแดงนับเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบมากที่สุด มากยิ่งกว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงแรก
ทั้งนี้ ซี-อินเทลลิเจนซ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ทางทะเลอื่น ๆ คาดการณ์ว่า ปัจจุบันกองเรือราว 10% ของโลกไม่ได้ให้บริการ ซึ่งหากมีเรือขนส่งให้บริการมากกว่านี้ ก็อาจช่วยแก้ไขความไม่สมดุลของปริมาณเรือ และเพิ่มความแน่นอนให้กับตารางการเดินเรือได้