กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 9.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 1 ปี และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้น 9.2% โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกไปยังสหรัฐที่เพิ่มขึ้นกว่า 20% และการส่งออกไปยังจีนที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 13 เดือน
ส่วนยอดนำเข้าเดือนธ.ค.ของญี่ปุ่นลดลง 6.8% ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าอาจลดลง 5.4% ส่งผลให้ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ระดับ 6.21 หมื่นล้านเยน (419 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลงจากระดับ 7.804 แสนล้านเยนในเดือนพ.ย.
สำหรับทั้งปีงบประมาณ 2566 นั้น ญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 9.29 ล้านล้านเยน
ข้อมูลการส่งออกในเดือนธ.ค.สะท้อนให้เห็นถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของความต้องการสินค้าญี่ปุ่นในสหรัฐ โดยยอดส่งออกไปยังสหรัฐพุ่งขึ้น 20.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ยอดส่งออกไปยังยุโรปเพิ่มขึ้น 10.3% และยอดส่งออกไปยังจีนเพิ่มขึ้น 9.6%
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การส่งออกที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนธ.ค.มีแนวโน้มที่จะช่วยหนุนเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในไตรมาส 4/2566 หลังจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 3 ปรับตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นอกจากนี้ คาดว่าการที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งอาจจะปูทางให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สามารถยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบได้ง่ายขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า BOJ จะยุติการใช้นโยบายดังกล่าวภายในเดือนเม.ย.ปีนี้