กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยในวันจันทร์ (29 ม.ค.) ว่า สหรัฐขายยุทโธปกรณ์ให้กับรัฐบาลต่างชาติเพิ่มขึ้น 16% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.38 แสนล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2566 ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ พยายามเติมสต๊อกหลังส่งอาวุธไปให้ยูเครนและเตรียมพร้อมสำหรับความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแถลงว่า การขายและถ่ายโอนยุทโธปกรณ์ถือเป็นนโยบายการต่างประเทศที่สำคัญของสหรัฐ และมีนัยสำคัญในระยะยาวต่อความมั่นคงระดับภูมิภาคและระดับโลก
สำหรับการขายยุทโธปกรณ์ในปี 2566 ประกอบด้วย การขายระบบเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องอัตตาจรสูง (HIMARS) มูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับโปแลนด์ การขายระบบจรวดนำวิถีจากอากาศสู่อากาศพิสัยกลาง (AMRAAM) รุ่น AIM-120C-8 มูลค่า 2.9 พันล้านดอลลาร์ให้กับเยอรมนี และการส่งมอบระบบป้องกันภัยทางอากาศด้วยอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นดินสู่อากาศ (NASAMS) ให้กับยูเครน เป็นต้น
บริษัทขายอาวุธรายใหญ่ของสหรัฐอย่าง ล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) และ เจเนอรัล ไดนามิกส์ (General Dynamics) คาดว่าจะได้รับคำสั่งซื้อยุทโธปกรณ์อีกเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งจะช่วยหนุนผลประกอบการในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า
ทั้งนี้ รัฐบาลต่างชาติสามารถซื้ออาวุธจากบริษัทในสหรัฐได้สองช่องทางหลัก ได้แก่ การซื้อโดยตรงจากบริษัทค้าอาวุธ และการซื้อผ่านเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมที่ประจำอยู่ตามสถานทูตสหรัฐในประเทศต่าง ๆ โดยทั้งสองวิธีต้องผ่านการรับรองจากรัฐบาลสหรัฐก่อน
รายงานระบุว่า ยอดขายอาวุธโดยตรงระหว่างบริษัทสหรัฐกับรัฐบาลต่างชาติเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.575 แสนล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2566 จากระดับ 1.536 แสนล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2565 ขณะที่ยอดขายอาวุธผ่านรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.09 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2566 จากระดับ 5.19 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2565