นักเดินทางจีนแห่ท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทั่วเอเชียในช่วงเทศกาลหยุดยาววันตรุษจีน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและการใช้จ่ายตามจุดหมายปลายทางต่าง ๆ เช่น สิงคโปร์ ไทย และมาเลเซีย สูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคโควิด-19 แพร่ระบาด
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การเดินทางแบบปลอดวีซ่า (visa-free) สำหรับนักท่องเที่ยวจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วยเพิ่มจำนวนการเดินทาง และส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในภาคการท่องเที่ยวนับตั้งแต่ที่จีนยกเลิกมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2566 หลังปิดพรมแดนมานานถึง 3 ปี
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นดังกล่าวยังเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับประเทศที่จำเป็นต้องพึ่งพาชาวจีนและการใช้จ่ายของชาวจีนในการกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แม้ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวด้านการเดินทางไปต่างประเทศยังคงถูกบดบังจากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในจีนแผ่นดินใหญ่ และตลาดเงินที่มีความผันผวน ซึ่งทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายภายในบ้านมากขึ้น
ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ระบุในเอกสารการวิจัยว่า "แม้ว่าจีนจะเผชิญกับอุปสรรคในเศรษฐกิจมหภาค แต่เราเชื่อว่าพลเมืองจีนยังคงยอมใช้จ่ายเพื่อรับประสบการณ์เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ... เราคิดว่าการใช้จ่ายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจะยังคงเติบโตแซงหน้าการบริโภคโดยรวมภายในประเทศ"
ทริปดอทคอม (Trip.com) บริษัทการเดินทางออนไลน์รายใหญ่ที่สุดของจีน ระบุว่า ยอดจองการเดินทางจากจีนไปยังสิงคโปร์ ไทย และมาเลเซียตั้งแต่วันที่ 10-17 ก.พ.ปีนี้รวมกันแล้วปรับตัวขึ้นมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับปี 2562 ขณะที่การเดินทางเยือนฮ่องกง มาเก๊า ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เทศกาลวันหยุดยาวตรุษจีนในปีนี้มีระยะเวลาทั้งสิ้น 8 วัน ซึ่งนานกว่าเมื่อปี 2562 หนึ่งวัน
แอลวายดอทคอม (LY.com) เว็บไซต์จองการเดินทางของจีนเปิดเผยว่า ยอดจองโรงแรมในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 10-13 ก.พ. มีการปรับตัวขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ยอดจองโรงแรมของสิงคโปร์ปรับตัวขึ้น 9 เท่า สะท้อนให้เห็นถึงแรงกระตุ้นจากนโยบายฟรีวีซ่า
อาลีเพย์ (Alipay) แพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ ระบุว่า การใช้จ่ายผ่านแอปอาลีเพย์ของนักท่องเที่ยวจีนในสิงคโปร์ ไทย และมาเลเซียรวมกันแล้วเพิ่มขึ้น 7.5% ระหว่างวันที่ 9-12 ก.พ.ที่ผ่านมาจากเมื่อปี 2562 และเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่าตัวจากเมื่อปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายด้านการบริโภคโดยรวมของจีนฟื้นตัวขึ้นเพียง 82% ของระดับเมื่อ 4 ปีก่อนเท่านั้น