บรรดานักวิเคราะห์ซึ่งเคยคาดการณ์ว่ายุโรปจะยังคงเผชิญกับปัญหาอัตราดอกเบี้ยที่สูงเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า บริษัทต่าง ๆ ราวครึ่งหนึ่งในยุโรปมีผลประกอบการต่ำกว่าคาดในการรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุด แม้ตัวเลขคาดการณ์อยู่ในระดับต่ำแล้วก็ตาม
จากการวิเคราะห์ข้อมูล FactSet ของซีเอ็นบีซีพบว่า จนถึงวันที่ 29 ก.พ. มีบริษัท 50.2% จาก 313 แห่งที่รายงานผลประกอบการออกมาแล้วนั้น มีผลประกอบการสูงกว่าคาด ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่น้อยที่สุดและเป็นฤดูกาลที่มีผลประกอบการย่ำแย่ที่สุด นับตั้งแต่ไตรมาส 1/2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบกับบริษัทต่าง ๆ ของยุโรปเป็นครั้งแรก
FactSet ระบุว่า เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคส่วนแล้วพบว่า บริษัทในกลุ่มวัสดุ, สินค้าฟุ่มเฟือย และการดูแลสุขภาพ ทำผลงานได้แย่ที่สุดในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2566 สวนทางกับบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีและสาธารณูปโภคที่ครองสัดส่วนสูงสุดในกลุ่มบริษัทที่มีผลประกอบการสูงกว่าคาดการณ์
นายเอ็ดเวิร์ด สแตนฟอร์ด หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้านหลักทรัพย์ประจำยุโรปของธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) กล่าวกับซีเอ็นบีซีเมื่อวันจันทร์ (26 ก.พ.) ว่า "เราไม่ได้เห็นสัดส่วนการทำรายได้สูงกว่าคาดการณ์ในระดับที่ต่ำขนาดนี้มานานแล้ว" และเสริมว่า ผลประกอบการที่น่าผิดหวังดังกล่าว "เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง"
นายฟิลิปเป เฟอร์เรรา รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์สินทรัพย์จากเคปเลอร์ ชูฟรอยซ์ (Kepler Cheuvreux) กล่าวว่า "มีเหตุผล 2-3 ข้อ ที่อยู่เบื้องหลังความน่าผิดหวังนี้ ทั้งสภาพเศรษฐกิจมหภาคที่ซบเซาลงในยุโรป โดยมีการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เกือบ 0% ในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2566 การพึ่งพาจีนอย่างมากของบางบริษัท อาทิ ลอรีอัล (L?Oreal)" ซึ่งจีนในตอนนี้กำลังประสบกับภาวะเงินฝืดและดีมานด์ของผู้บริโภคที่ซบเซา
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติยุโรปเปิดเผยให้เห็นว่า เศรษฐกิจของยุโรปหดตัวลง 0.1% ในไตรมาส 3/2566 แต่กลับมาขยายตัวขึ้น 0.1% ในไตรมาส 4/2566 ทำให้สามารถรอดพ้นจากภาวะถดถอยทางเทคนิค ซึ่งวัดจากการหดตัวของเศรษฐกิจติดต่อกัน 2 ไตรมาสมาได้