การท่องเที่ยวขาออกของจีนยังคงฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า เนื่องจากต้นทุนการเดินทางที่สูงขึ้นและความยากลำบากในการขอวีซ่า ส่งผลให้ชาวจีนหันมาเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศและทริปการเดินทางระยะใกล้
หนังสือพิมพ์สเตรทไทม์สรายงานว่า การท่องเที่ยวขาออกของจีนที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น กำลังส่งผลกระทบต่อบริษัทท่องเที่ยว โรงแรม และบริษัทค้าปลีกทั่วโลก เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสายการบิน
แม้ขณะนี้เป็นเวลานานถึง 18 เดือนแล้วที่จีนยกเลิกนโยบายเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเปิดพรมแดนอีกครั้ง แต่การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวต่างประเทศกลับล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และรูปแบบการท่องเที่ยวของจีนเริ่มเปลี่ยนไป โดยความต้องการท่องเที่ยวภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
การทรุดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งอัตราการว่างงานที่สูง และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซาของจีน ส่งผลให้ผู้บริโภคจีนควบคุมการใช้จ่ายมากขึ้นนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งก่อให้เกิดสงครามการลดราคาสินค้าและการบริการในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ธุรกิจการท่องเที่ยวไปจนถึงธุรกิจรถยนต์ ร้านกาแฟ และเสื้อผ้า
ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวจากสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า การเดินทางไปต่างประเทศโดยรวมของชาวจีนในปี 2566 อยู่ที่ 87 ล้านครั้งลดลง 40% จากระดับก่อนการแพร่ระบาดในปี 2562 ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวชาวจีนใช้จ่ายน้อยลง 24% จากในปี 2562 ส่วนนักท่องเที่ยวชาวสหรัฐใช้จ่ายมากขึ้น 14%
ทั้งนี้ การที่ชาวจีนเดินทางไปต่างประเทศน้อยลงนับเป็นข่าวร้ายสำหรับประเทศต่าง ๆ อย่างฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาวจีนก่อนที่โรคโควิด-19 จะแพร่ระบาด
ดร.ลิม ซีมิน รองประธานสถาบันวิจัย China Society for Futures Studies คาดการณ์ว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้ การท่องเที่ยวขาออกของจีนจะยังไม่ฟื้นตัวสู่ระดับก่อนที่โรคโควิด-19 จะแพร่ระบาด