ผลสำรวจที่เผยแพร่ในวันนี้ (21 มิ.ย.) ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวอังกฤษปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่งในเดือนมิ.ย. 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากมุมมองของครัวเรือนที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้น แม้ว่าประชาชนจะมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับฐานะทางการเงินส่วนบุคคลก็ตาม
สถาบันวิจัยตลาด GfK เปิดเผยผลสำรวจในวันนี้โดยระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอังกฤษในเดือนมิ.ย.อยู่ที่ -14 เพิ่มขึ้นจากระดับ -17 ในเดือนพ.ค. แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2564 และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ไว้
ก่อนหน้านี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ -49 ในเดือนก.ย. 2565 ซึ่งเป็นหนึ่งเดือนก่อนที่ราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 41 ปีที่มากกว่า 11%
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมายที่ 2% ในเดือนพ.ค. และขวัญกำลังใจของผู้บริโภคฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังคงมีฐานะแย่กว่าช่วงก่อนเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นแรงกดดันอย่างหนักต่อโอกาสทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีริชี ซูนัค ในการเลือกตั้งวันที่ 4 ก.ค.นี้
นายโจ สตาตัน ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ลูกค้าของ GfK กล่าวว่า "แม้ว่าดัชนีฯ ในเดือนมิ.ย.ที่ระดับ -14 จะเป็นการปรับตัวสูงขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน แต่คะแนนรวมยังคงติดลบ เนื่องจากความยากลำบากที่หลายคนประสบขณะที่วิกฤตค่าครองชีพยังคงกัดกร่อนงบประมาณของครัวเรือน"
ผลสำรวจในเดือนมิ.ย.ชี้ว่า การประเมินของครัวเรือนเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น 7 จุด และมุมมองต่ออนาคตปรับตัวดีขึ้น 6 จุด
อย่างไรก็ตาม การประเมินของครัวเรือนเกี่ยวกับโอกาสทางการเงินของตนเองลดลง 3 จุดจากเดือนพ.ค. และการประเมินเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินของตัวเองตลอดทั้งปียังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ผลสำรวจความคิดเห็นจากหลายสำนักแสดงให้เห็นว่า ประชาชนชาวอังกฤษเกินกึ่งหนึ่งเล็กน้อยคาดว่าจะต้องจ่ายภาษีมากขึ้น ไม่ว่าพรรคแรงงานหรือพรรคอนุรักษ์นิยมจะได้เป็นรัฐบาลชุดต่อไปก็ตาม
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ภาระภาษีโดยรวมของอังกฤษซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2492 จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ภาระดอกเบี้ยที่สูง และความต้องการบริการสาธารณะที่เพิ่มขึ้น