สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป (ACEA) รายงานในวันนี้ (19 ก.ย.) ว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในสหภาพยุโรป (EU) ลดลง 18.3% ในเดือนส.ค. แตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยสาเหตุหลักมาจากยอดขายที่ร่วงหนักในตลาดใหญ่ ๆ อย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี
ACEA ระบุว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ร่วงลงถึง 43.9% ในเดือนส.ค. นับเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยเยอรมนีและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นตลาดรถ EV ที่ใหญ่ที่สุดใน EU มียอดขายดิ่งลง 68.8% และ 33.1% ตามลำดับ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ในยุโรปโดยรวมต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 อย่างเห็นได้ชัด ขณะที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ เช่น โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ออกมาเตือนว่า แนวโน้มนี้อาจไม่เปลี่ยนแปลงไปในเร็ว ๆ นี้
การเติบโตของยอดขายรถ EV ก็ชะลอตัวลงเช่นกัน ปัจจัยหนึ่งมาจากนโยบายสนับสนุนรถยนต์พลังงานสะอาดที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ รวมถึงมาตรการรีดภาษีนำเข้ารถ EV จากจีน เพื่อป้องกันการตีตลาดของรถ EV จีนราคาถูก
ยอดขายรถ EV แบบใช้แบตเตอรี่ และรถ EV แบบเสียบปลั๊กเต็มรูปแบบ ลดลง 43.9% และ 22.3% ตามลำดับในเดือนส.ค. ขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฮบริดเพิ่มขึ้น 6.6% และครองส่วนแบ่งตลาด 31.3%
ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ของ 3 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในยุโรป ได้แก่ โฟล์คสวาเกน, สเตลแลนทิส (Stellantis) และเรโนลต์ (Renault) ต่างลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยลดลง 14.8%, 29.5% และ 13.9% ตามลำดับ
ส่วนยอดขายของเทสลา (Tesla) บริษัทผลิตรถ EV ชื่อดังจากสหรัฐฯ ลดลง 43.2% ขณะที่เอสเอไอซี มอเตอร์ (SAIC Motor) จากจีน มียอดขายลดลง 27.5%
รถยนต์ไฮบริดได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในยุโรปช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคมองว่าเป็นทางเลือกที่ราคาจับต้องได้มากกว่า เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียวหรือรถยนต์ไฟฟ้าล้วน
เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดรถ EV รัฐบาลเยอรมนีจึงประกาศในเดือนก.ย.นี้ว่า จะลดหย่อนภาษีให้บริษัทที่ขายรถ EV สูงสุดถึง 40% หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ยกเลิกโครงการเงินอุดหนุนที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
ทั้งนี้ สหพันธ์ยุโรปเพื่อการคมนาคมและสิ่งแวดล้อม (T&E) ซึ่งรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ส่วนแบ่งตลาดรถ EV แบบใช้แบตเตอรี่ในยุโรป คาดว่าจะอยู่ที่ 20-24% ภายในปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากราคาขายที่ถูกลง