ผลสำรวจที่เผยแพร่ในวันนี้ (24 ต.ค.) ระบุว่า การเติบโตของกิจกรรมทางธุรกิจในอินเดียปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในเดือนต.ค. โดยมีปัจจัยหลักมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภาคการผลิต หลังจากที่มีการชะลอตัวลงในเดือนก.ย. นอกจากนี้ การสร้างงานใหม่ยังเพิ่มขึ้นในอัตราเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2549
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของอินเดียจาก HSBC ซึ่งจัดทำโดยเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 58.6 ในเดือนต.ค. จากระดับขั้นสุดท้ายที่ 58.3 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ทั้งนี้ ดัชนีอยู่เหนือระดับ 50 มาแล้ว 39 เดือนติดต่อกัน ถือเป็นช่วงการขยายตัวที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2556
อนึ่ง ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่า กิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว
"ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นล่าสุดของอินเดียชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมการผลิตกลับมาฟื้นตัวและมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในเดือนต.ค.นี้ หลังจากที่เราเห็นการชะลอตัวเล็กน้อยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา หลาย ๆ ด้านในภาคการผลิตเริ่มกลับมาคึกคักขึ้น" ปราณจุล ภัณฑารี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำอินเดียของ HSBC กล่าว
"ทั้งคำสั่งซื้อในประเทศและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับภาคการผลิตของอินเดียในช่วงที่เหลือของปี 2567"
จากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นของอินเดียปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจนมาอยู่ที่ 57.4 ในเดือนต.ค. จาก 56.5 ในเดือนก.ย.
ขณะเดียวกัน ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ ก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 57.9 ในเดือนต.ค. จาก 57.7 ในเดือนก.ย.
การเติบโตของการผลิตสินค้าในเดือนนี้แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน นับเป็นข่าวดีสำหรับภาคการผลิตของอินเดีย ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเพียงไม่ถึง 20% ของระบบเศรษฐกิจทั้งประเทศ โดยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี กำลังพยายามผลักดันให้การผลิตสินค้าในประเทศเติบโตมากขึ้น
เจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดียได้เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลได้เริ่มใช้นโยบายสนับสนุนการผลิต อินเดียสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากกว่า 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เกิดการผลิตสินค้ามูลค่าราว 11 ล้านล้านรูปี (1.31 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) และสร้างงานใหม่ได้เกือบ 1 ล้านตำแหน่ง
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าความต้องการสินค้าจากต่างประเทศในเดือนต.ค.เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนจากตัวเลขการส่งออกโดยรวมที่เติบโตเร็วขึ้น
จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ ต้องเร่งจ้างพนักงานเพิ่ม โดยอัตราการจ้างงานโดยรวมเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในรอบ 18 ปีครึ่ง โดยการจ้างงานในภาคบริการมีอัตราการเติบโตสูงกว่าภาคการผลิต
ท่ามกลางความต้องการสินค้าและบริการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก บริษัทต่าง ๆ จึงสามารถผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังลูกค้าได้ ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 3 เดือน โดยบริษัทต่าง ๆ รายงานว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นราคาสารเคมี, ไข่, เนื้อสัตว์, บรรจุภัณฑ์, เหล็ก รวมไปถึงผัก
"อัตรากำไรของผู้ผลิตยังคงได้รับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบมีการปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ" ภัณฑารีกล่าว
มุมมองแนวโน้มทางธุรกิจสำหรับปีที่จะถึงนี้มีความหลากหลาย โดยผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า ภาคการผลิตมีความเชื่อมั่นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้าม ภาคธุรกิจบริการกลับมีความเชื่อมั่นที่ลดน้อยลง