นิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor) ค่ายรถรายใหญ่จากญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (28 พ.ย.) ว่า การผลิตรถยนต์ทั่วโลกลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันในเดือนต.ค. เนื่องจากศูนย์การผลิตเกือบทั้งหมดยกเว้นในเม็กซิโกปรับลดการผลิตลง
ขณะที่ยอดขายทั่วโลกลดลงเป็นเดือนที่ 7 แต่ยอดขายรถยนต์นิสสันในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ กลับปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน
ในช่วงต้นเดือนนี้ นิสสันได้ประกาศแผนการที่จะเลิกจ้างพนักงาน 9,000 ตำแหน่งและลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 20% เพื่อลดต้นทุน หลังจากที่บริษัทประสบกับปัญหายอดขายที่ซบเซาลงในจีนและในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ คำขู่ขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังส่งผลกระทบต่อความพยายามในการปรับโครงสร้างของบริษัทด้วย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ยอดการผลิตรถยนต์นิสสันทั่วโลกในเดือนต.ค. ลดลง 6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของเมื่อปีก่อน สู่ระดับ 290,848 คัน โดยการผลิตทั้งในสหรัฐฯและจีนลดลง 15% ขณะที่ในอังกฤษร่วงลง 23% และการผลิตในญี่ปุ่นหดตัวลง 4%
แหล่งผลิตที่ทำผลงานได้ดีที่สุดคือเม็กซิโก ซึ่งการผลิตปรับตัวขึ้น 12% สู่ระดับ 70,382 คัน นั่นหมายความว่า รถยนต์เกือบ 1 ใน 4 ของนิสสันทั่วโลกผลิตที่เม็กซิโกเมื่อเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่สดใสของเม็กซิโกอาจต้องเผชิญกับแรงกดดัน เนื่องจาก ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศในสัปดาห์นี้ว่า เขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% หลังเข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.
มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอของนิสสันกล่าวในเวลาไม่นานหลังจากทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอีกสมัยว่า นิสสันส่งออกรถยนต์ประมาณ 300,000 คันจากเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ ในปีนี้ และจะติดตามแผนภาษีศุลกากรอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ นิสสันจำหน่ายรถยนต์ได้มากขึ้น 13% ในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นการขยายตัวขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ค. นำโดยรถยนต์ซีดานขนาดเล็กรุ่น Sentra นอกจากนี้ ยอดขายของนิสสันยังเพิ่มขึ้นในเม็กซิโกและแคนาดาด้วย แม้ว่ายอดขายในจีนและยุโรปจะลดลงเป็นหลักสิบก็ตาม ส่งผลให้ยอดขายทั่วโลกลดลง 3%
ในทางกลับกัน ยอดขายทั่วโลกของโตโยต้าเพิ่มขึ้น 1.4% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนในเดือนต.ค. ขณะที่การผลิตทั่วโลกยังคงลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการระงับการผลิตในสหรัฐฯ