ผู้บริหารกลุ่มโรงแรมแอคคอร์ (Accor) มองว่า อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีแนวโน้มที่จะเฟื่องฟูด้านการท่องเที่ยว อันเป็นผลจากการขยายตัวของชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ฌอง-ฌัก โมแร็ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มโรงแรมแอคคอร์ ให้สัมภาษณ์ในกรุงเทพฯ ว่า "เมื่อธุรกิจดี ผู้คนก็มั่งมีมากขึ้น และพวกเขาก็จะบริโภคและต้องการหาความสุขใส่ตัว ซึ่งนี่แหละคือจุดที่เราเข้ามาตอบโจทย์ได้ ... วิถีการบริโภคของผู้คนได้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกวันนี้ พวกเขาต้องการบริการ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เสมอไป พวกเขาอยากสัมผัสประสบการณ์ ซึ่งเทรนด์นี้ยิ่งชัดเจนขึ้นหลังยุคโควิด"
โมแร็งกล่าวว่า แอคคอร์มีโรงแรมเกือบ 6,000 แห่งทั่วโลก พร้อมแบรนด์ในเครือกว่า 45 แบรนด์ ตั้งแต่เครือโรงแรมราคาประหยัดอย่างไอบิส (Ibis) จนถึงโรงแรมหรูอย่างรัฟเฟิลส์ (Raffles) และบันยันทรี (Banyan Tree) โดยตั้งเป้าขยายธุรกิจ 3-4% ในปีนี้ โดยครึ่งหนึ่งของการขยายตัวจะอยู่ในเอเชีย
โมแร็งมองว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียมีโอกาสเติบโตอย่างมาก ขณะที่ "เสือใหญ่" อย่างสิงคโปร์ ไทย และญี่ปุ่นก็จะยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตลาดที่กำลังมาแรงอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ เอเชียฟื้นตัวจากโควิด-19 ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับที่อื่น ๆ ของโลก จากการเติบโตที่ชะลอตัวอย่างหนักของจีน แม้ในระยะสั้นนั้น ผู้บริหารรายนี้คาดว่า รายได้ต่อห้องในโรงแรม 700 แห่งของแอคคอร์ทั่วจีนจะ "เติบโตเพียงเล็กน้อย" แต่รายได้น่าจะฟื้นตัวกลับมาในปีต่อ ๆ ไป