จำนวนทารกแรกเกิดในญี่ปุ่นลดลงแตะระดับต่ำสุด สะท้อนความท้าทายในการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมที่พุ่งสูงขึ้นสำหรับสังคมสูงวัย ท่ามกลางจำนวนแรงงานผู้เสียภาษีที่ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง
กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลประชากรเบื้องต้นวันนี้ (27 ก.พ.) ว่า จำนวนทารกแรกเกิดในปี 2567 ลดลง 5% จากปีก่อนหน้า เหลือเพียง 720,988 คน ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 และเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกสถิติในปี 2442
ขณะเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1.8% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.62 ล้านคน ส่งผลให้จำนวนประชากรโดยรวมลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การลดลงของจำนวนทารกแรกเกิดอย่างต่อเนื่องเพิ่มความกดดันให้รัฐบาลญี่ปุ่นที่แบกรับภาระหนี้สาธารณะหนักที่สุดในบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว โดย IMF คาดการณ์ว่า หนี้สาธารณะของญี่ปุ่นจะสูงถึง 232.7% ของ GDP ในปีนี้
จำนวนแรงงานที่ลดลงส่งผลให้รายได้ภาษีของรัฐบาลลดลง พร้อมกับสร้างแรงกดดันให้ภาคธุรกิจที่เผชิญกับการขาดแคลนบุคลากร
ในปี 2567 มีบริษัทญี่ปุ่นล้มละลายเนื่องจากวิกฤตแรงงานสูงถึง 342 แห่ง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตามข้อมูลจากเทโกกุ ดาต้าแบงก์ (Teikoku Databank)
ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมของญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากสัดส่วนประชากรที่เข้าสู่วัยเกษียณมีมากขึ้น โดยรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 37.7 ล้านล้านเยน (2.53 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับสวัสดิการสังคมในปีงบประมาณที่เริ่มเดือนเม.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 20% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ระบบบำนาญของญี่ปุ่นก็อยู่ภายใต้ความกดดันเช่นกัน เนื่องจากมีผู้จ่ายเงินสมทบลดลงและผู้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนบำนาญลดลงประมาณ 3 ล้านคน ขณะที่ผู้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นเกือบ 40% ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขฯ
การลดลงของทารกแรกเกิดอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความลังเลของคนรุ่นใหม่ในการมีบุตร แม้รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กำลังผลักดันนโยบายดูแลเด็กมูลค่า 3.6 ล้านล้านเยน ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนผู้ที่กำลังจะเป็นพ่อแม่และปรับปรุงสภาพการทำงานของผู้ดูแลเด็ก