สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ยอดส่งออกเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 12.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2567 เนื่องจากภาคธุรกิจของจีนพากันเร่งส่งออกสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากร
ขณะที่ยอดนำเข้าในเดือนมี.ค.ปรับตัวลง 4.3% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ ส่วนยอดเกินดุลการค้าของจีนในเดือนมี.ค. อยู่ที่ 1.0264 แสนล้านดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนธ.ค. 2567 ซึ่งอยู่ที่ 1.048 แสนล้านดอลลาร์
รายงานของ NBS ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (14 เม.ย.) ยังระบุด้วยว่า จีนส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 9.1% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี และนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลดลง 9.5% โดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของการค้าโดยรวมของจีน
ขณะที่ยอดส่งออกจากจีนไปยังกลุ่มอาเซียนพุ่งขึ้น 11.6% ในเดือนมี.ค. นำโดยการส่งออกไปยังเวียดนามที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งเกือบ 19% ขณะที่ยอดการนำเข้าจากกลุ่มอาเซียน เพิ่มขึ้น 9.8%
นอกจากนี้ จีนส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 10.3% ในเดือนมี.ค. ขณะที่นำเข้าจาก EU ลดลง 7.5%
รายงานของ NBS ยังระบุด้วยว่า จีนนำเข้าแร่เหล็กลดลง 6.7% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 94 ล้านตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2566 ขณะเดียวกันจีนนำเข้าถั่วเหลืองลดลง 36.8% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2551
สำหรับยอดนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์และน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 11.2% และ 4.5% ตามลำดับ ส่วนยอดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และแร่หายากพุ่งขึ้น 25% และ 20% ตามลำดับ