ผลสำรวจทางธุรกิจที่เปิดเผยในวันนี้ (23 เม.ย.) บ่งชี้ว่า ภาคเอกชนของอินเดียกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งในเดือนเม.ย. แตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง และหนึ่งในปัจจัยที่มีบทบาทอย่างมากคือยอดคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมจากต่างประเทศที่พุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ดี สัญญาณความเชื่อมั่นทางธุรกิจในระยะต่อไปเริ่มแสดงอาการแผ่วลง
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของอินเดียซึ่งจัดทำโดย HSBC และรวบรวมข้อมูลโดย S&P Global ชี้ว่า ดัชนีขยับขึ้นไปอยู่ที่ 60.0 ในเดือนเม.ย. จาก 59.5 ในเดือนมี.ค. ถือเป็นการขยายตัวสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2567
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว
การเติบโตอันแข็งแกร่งนี้มีแรงผลักดันหลักคือภาคการผลิต ซึ่งดัชนี PMI ขั้นต้นพุ่งขึ้นแตะ 58.4 ในเดือนเม.ย. จาก 58.1 ในเดือนมี.ค. ทำสถิติสูงสุดในรอบ 1 ปี ขณะเดียวกัน ภาคบริการก็ไม่น้อยหน้า โดยดัชนี PMI ขั้นต้นขยับขึ้นสู่ระดับ 59.1 ในเดือนเม.ย. จาก 58.5 ในเดือนมี.ค. นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน
ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังภาพรวมเชิงบวกนี้ คือการเพิ่มขึ้นของธุรกิจใหม่ ๆ ในภาคบริการ ควบคู่ไปกับการปรับตัวดีขึ้นของการผลิตสินค้าและยอดคำสั่งซื้อใหม่ ๆ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดอุปสงค์ที่สำคัญ โดยเฉพาะคำสั่งซื้อจากลูกค้านานาชาติ
การทะยานขึ้นของยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกในครั้งนี้ ถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลดัชนีนี้เมื่อเดือนก.ย. 2557 โดยกระจุกตัวอย่างเห็นได้ชัดในภาคการผลิต ซึ่งบันทึกการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 15 ปี
อย่างไรก็ตาม มุมมองด้านความเชื่อมั่นทางธุรกิจกลับสวนทางกัน แม้ผู้ผลิตสินค้าจะมองบวกมากขึ้นจากยอดสั่งซื้อที่ไหลเข้า แต่ความเชื่อมั่นในภาคบริการที่อ่อนแอลงส่งผลให้ภาพรวมความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 1 ปีข้างหน้าลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน