ผลสำรวจล่าสุดที่เผยแพร่ในวันนี้ (25 เม.ย.) บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักร (UK) ในเดือนเม.ย.ทรุดตัวลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566 โดยสาเหตุหลักมาจากมุมมองต่ออนาคตของเศรษฐกิจที่ซบเซาลงอย่างชัดเจน ท่ามกลางภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากสถาบัน Gfk ลดลงไปอยู่ที่ -23 ในเดือนเม.ย. จากระดับ -19 ในเดือนมี.ค. ซึ่งตัวเลขนี้ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ -22
ทั้งนี้ การสำรวจจัดทำระหว่างวันที่ 1-14 เม.ย. โดยสอบถามชาวอังกฤษอายุ 16 ปีขึ้นไปจำนวน 2,002 คน
รายงานระบุว่า ครัวเรือนอังกฤษมีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในแง่ลบมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนีความคาดหวังเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในอีก 12 เดือนข้างหน้า ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566
ภาพรวมผลสำรวจนี้ยิ่งตอกย้ำสัญญาณความเปราะบางด้านความเชื่อมั่น ทั้งในภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่กำลังเผชิญแรงกดดันซ้ำซ้อน ไม่เพียงแต่จากสงครามการค้าที่ริเริ่มโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงินทั่วโลก แต่ยังรวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงภายในประเทศ
นีล เบลลามี ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลเชิงลึกผู้บริโภคของ GfK ให้ความเห็นว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอาจลดลงอีก หากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้
เบลลามีกล่าวว่า ผู้บริโภคไม่เพียงแต่ต้องรับมือกับค่าใช้จ่ายหลายรายการที่ปรับขึ้นพร้อมกันในเดือนเม.ย. ทั้งค่าสาธารณูปโภค, ภาษีบำรุงท้องถิ่น (council tax), อากรแสตมป์ และภาษีรถยนต์ แต่พวกเขายังได้ยินคำเตือนถึงความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการภาษีของทรัมป์
ข้อมูลบ่งชี้ว่า ราคาพลังงานสำหรับครัวเรือนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ปรับเพิ่มขึ้นถึง 6.4% ในเดือนเม.ย.นี้
ด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่ชัดเจนของสงครามการค้าต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของ UK อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายบางส่วนมองว่า สงครามการค้าอาจมีส่วนช่วยชะลออัตราเงินเฟ้อได้