ดอลลาร์อ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลัก ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า
ณ เวลา 00.47 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลบ 0.42% สู่ระดับ 99.05 ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่า 0.39% สู่ระดับ 1.141 เทียบยูโร และร่วงลง 0.96% สู่ระดับ 142.27 เยน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้โทรศัพท์มาหาเขาแล้ว
อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยว่า ปธน.สีได้โทรศัพท์มาเมื่อใด และผู้นำทั้งสองได้หารือในประเด็นใด
นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ไม่ได้บ่งชี้สัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการที่สหรัฐจะบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับจีน แต่ระบุว่าความรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ทางสหรัฐ
"ผมเชื่อว่ามันขึ้นอยู่กับจีนในการผ่อนคลายสถานการณ์ เพราะพวกเขาขายสินค้าให้เรามากกว่าที่เราขายให้พวกเขาถึง 5 เท่า ดังนั้นการเรียกเก็บภาษีที่ระดับ 120% และ 145% จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยั่งยืน" นายเบสเซนต์กล่าวต่อสำนักข่าว CNBC
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 6-7 พ.ค.
กฎระเบียบของเฟดได้ระบุห้ามเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นหรือให้สัมภาษณ์ในช่วง Blackout Period เกี่ยวกับนโยบายการเงิน โดยเริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่สองก่อนที่การประชุม FOMC จะเริ่มขึ้น และสิ้นสุดในวันพฤหัสบดีหลังการประชุม FOMC เพื่อป้องกันไม่ให้สาธารณชนตีความว่าเป็นการบ่งชี้การดำเนินการด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมนโยบายการเงินที่จะมาถึง
นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กดดันอย่างหนักให้นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม ตุลาคม และธันวาคม
ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 95.1% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 6-7 พ.ค.
นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนมิ.ย., ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนก.ค., ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนต.ค. และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.25-3.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์เรียกร้องเมื่อวันที่ 21 เม.ย.ให้นายพาวเวลรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางยุโรป มิฉะนั้นเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลง และปธน.ทรัมป์ยังกล่าวหานายพาวเวลว่ามักปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างล่าช้า ยกเว้นในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือให้อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน และนางคามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมปยังขู่ที่จะปลดนายพาวเวลออกจากตำแหน่ง ก่อนที่เขาครบวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดในเดือนพ.ค.2569 แต่ปธน.ทรัมป์ได้เปลี่ยนแปลงท่าทีในภายหลังว่า เขาไม่มีความประสงค์ที่จะปลดนายพาวเวลแต่อย่างใด