เทมู (Temu) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีน เริ่มเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนำเข้าเพิ่มเติมจากลูกค้าในสหรัฐฯ โดยคิดเฉลี่ยสูงถึง 145% สำหรับสินค้าที่จัดส่งโดยตรงจากจีน ทำให้ราคาสินค้าปลายทางพุ่งสูงขึ้นกว่าเท่าตัว
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีนโยบายตั้งกำแพงภาษี 145% และยกเลิกข้อยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าราคาต่ำ (de minimis) โดยค่าธรรมเนียมใหม่นี้จะถูกนำมาใช้กับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแต่เดิมเคยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า
ทั้งนี้ คำสั่งซื้อสินค้าโดยทั่วไปจากเทมูมีราคาสูงขึ้นอย่างชัดเจน จากเดิมที่เคยเป็นสินค้าราคาถูก กลับกลายเป็นราคาใกล้เคียงกับสินค้าปลีกทั่วไปเมื่อรวมค่าธรรมเนียมนำเข้าแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ชุดเดรสฤดูร้อนที่เคยมีราคาเพียง 18.47 ดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันมีราคารวมอยู่ที่ 44.68 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากบวกค่าธรรมเนียม 26.21 ดอลลาร์สหรัฐเข้าไป ขณะเดียวกัน ชุดว่ายน้ำเด็กลายการ์ตูนก็มีราคาขยับขึ้นจาก 12.44 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 31.12 ดอลลาร์สหรัฐ
เทมูได้ชี้แจงบนเว็บไซต์ว่า ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ครอบคลุมกระบวนการและค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศุลกากร และอาจไม่สะท้อนจำนวนภาษีที่จ่ายจริงให้กับทางการ
ขณะเดียวกัน ชีอิน (Shein) ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของเทมูในตลาดฟาสต์แฟชั่น ก็ได้ปรับขึ้นราคาสินค้าเช่นกัน แต่แตกต่างตรงที่ชีอินระบุชัดเจนว่าราคาที่แสดง ณ จุดชำระเงินได้รวมภาษีนำเข้าไว้แล้ว
ทั้งเทมูและชีอินต่างได้แจ้งเตือนลูกค้าล่วงหน้าตั้งแต่ต้นเดือนว่าจะมีการปรับขึ้นราคา อันเป็นผลมาจากการที่ทำเนียบขาวประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน และปิดช่องโหว่ทางกฎหมายของ de minimis ที่เคยเอื้อประโยชน์ให้แพลตฟอร์มเหล่านี้เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดสหรัฐฯ
ค่าธรรมเนียมนำเข้าที่เพิ่มขึ้นนี้กำลังสั่นคลอนจุดแข็งด้านราคาที่ถูกเหลือเชื่อของเทมู ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แพลตฟอร์มได้รับความนิยมอย่างสูงในอเมริกานับตั้งแต่ปี 2565 โดยผู้บริโภคจำนวนมากแห่ซื้อสินค้าประเภทเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และของใช้ในบ้านราคาประหยัด แม้จะต้องรอสินค้านานกว่าปกติ
แต่เมื่อราคาสินค้าขยับขึ้นมาใกล้เคียงกับคู่แข่งรายใหญ่อย่างอะเมซอน (Amazon), วอลมาร์ท (Walmart) และทาร์เก็ต (Target) ประกอบกับการจัดส่งที่ยังคงใช้เวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ เทมูจึงมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียลูกค้ากลุ่มที่อ่อนไหวเรื่องราคาไป
เสียงสะท้อนจากลูกค้าปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนบนโลกออนไลน์ โดยในฟอรัมยอดนิยมอย่างเรดดิท (Reddit) มีการโพสต์แสดงความไม่พอใจต่อราคาที่ "พุ่งสูงขึ้น" และตั้งข้อสังเกตว่ายุคทองของเทมูอาจกำลังจะสิ้นสุดลง ด้านข้อมูลจากเซนเซอร์ ทาวเวอร์ (Sensor Tower) ยังชี้ว่า เทมูได้ลดงบโฆษณาในสหรัฐฯ ลง และอันดับความนิยมของแอปพลิเคชันในแอปสโตร์ (App Store) ของแอปเปิ้ล (Apple) ก็ร่วงลงจาก 10 อันดับแรกไปอยู่ที่อันดับ 73 ส่วนชีอินตกลงจากอันดับ 15 ไปอยู่ที่อันดับ 54
เพื่อลดผลกระทบจากค่าธรรมเนียมใหม่ เทมูพยายามกระตุ้นให้ลูกค้าหันไปเลือกซื้อสินค้าที่จัดเก็บอยู่ในคลังสินค้าภายในสหรัฐฯ แทน โดยสินค้าเหล่านี้จะมีป้ายกำกับพิเศษเพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบว่า "ไม่มีค่าธรรมเนียมนำเข้า" การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์มาเน้นการกระจายสินค้าภายในประเทศนี้ถือเป็นความพยายามของเทมูที่จะรักษาจุดยืนด้านความคุ้มค่า ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าที่กำลังส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกทั่วโลก