มาซาโตะ คันดะ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เปิดเผยในวันนี้ (29 เม.ย.) ว่า ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียจะต้องกระจายประเทศคู่ค้าทั้งในด้านอุตสาหกรรมและการค้า อีกทั้งควรกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจของประเทศจะสามารถฝ่าฟันผลกระทบของสงครามการค้าทั่วโลก
ประธาน ADB กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าในอดีต แต่ก็ยังไม่พ้นจากอุปสรรค เนื่องจากสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าใช้กลยุทธ์การเรียกเก็บภาษีศุลกากรในระดับสูงกับเกือบทุกประเทศในโลก
ขณะเดียวกัน คันดะกล่าวว่า ความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียควรกระจายฐานเศรษฐกิจของตน และยังกล่าวด้วยว่า สิ่งที่ประเทศในเอเชียสามารถทำได้ในเวลานี้คือการปกป้องเศรษฐกิจในภูมิภาคจากผลกระทบภายนอกและสร้างความยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถรับมือกับภาวะถดถอยในอนาคต
ส่วนในเรื่องค่าเงินนั้น คันดะซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านสกุลเงินของญี่ปุ่นกล่าวว่า ในขณะที่สหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการที่ประเทศอื่น ๆ ลดค่าเงินอย่างผิดวิสัยเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ส่งออกของตนนั้น แนวทางของญี่ปุ่นในการแยกการหารือเรื่องสกุลเงินและตลาดการเงินออกจากการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากร ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว โดยมองว่าแม้ทุกอย่างมีความเกี่ยวข้องกัน แต่การค้าและสกุลเงินเป็นคนละเรื่องกัน
การแสดงความเห็นของประธาน ADB สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า โดยนอกเหนือจากภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากจีนซึ่งทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าจากจีนเข้าสู่สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าแล้ว ประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น ไทยและเวียดนามที่ต้องพึ่งพาการส่งออก ต่างก็ถูกเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ในระดับสูงเช่นกัน
นอกจากนี้ กระแสการเทขายดอลลาร์สหรัฐ หรือ "Sell US" ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มใช้มาตรภาษีศุลกากรเชิงรุกนั้น ได้ส่งผลให้สกุลเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้น ซึ่งยิ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มผู้ส่งออกในภูมิภาคนี้