การปรับตัวขึ้นดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของรายได้จากการลงทุนโดยตรง ซึ่งช่วยชดเชยยอดขาดดุลการค้าที่เป็นผลจากการนำเข้าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ยอดขาดดุลการค้าอยู่ที่ 4.238.2 ล้านล้านเยน ซึ่งมากที่สุดในรอบครึ่งปี เนื่องจากการนำเข้าเพิ่มขึ้น 8.6% สู่ระดับ 36.9141 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นผลจากสกุลเงินเยนที่อ่อนค่า และมากกว่าการขยายตัวด้านการส่งออก โดยการส่งออกในช่วง 6 เดือนดังกล่าวเพิ่มขึ้น 3.5% แตะ 32.6759 ล้านล้านเยน
สำหรับในเดือนมิ.ย.เดือนเดียว ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดไว้ที่ 3.363 แสนล้านเยน โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 6.7% แตะ 5.7894 ล้านล้านเยน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 11.6% แตะ 5.9286 ล้านล้านเยน
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การที่ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการค้าที่มากที่สุดนั้น อาจเป็นผลจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อน ซึ่งเป็นทางเลือกนอกเหนือจากใช้ไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ หลังเกิดวิกฤตนิวเคลียร์ฟูกูชิมะเมื่อเดือนมีนาคม 2554 สำนักข่าวเกียวโดรายงาน