กระทรวงการคลังระบุในรายงานผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการแก้ปัญหาเพดานหนี้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดว่า การผิดนัดชำระหนี้จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะเดียวกับตอนที่เกิดวิกฤตการเงินเมื่อปี 2551 หรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่านั้น
"ตลาดสินเชื่ออาจชะงักงัน มูลค่าของเงินดอลลาร์อาจร่วงหนัก และอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอาจพุ่งสูง" รายงานระบุ
"การเลื่อนเวลาออกไปแล้วค่อยเพิ่มเพดานหนี้ในนาทีสุดท้ายเป็นสิ่งที่เศรษฐกิจของเราไม่ต้องการ มันเหมือนแผลที่เกิดขึ้นในร่างกายและเป็นอันตรายต่อทั้งภาคครัวเรือนและธุรกิจ ประเทศของเราต้องดิ้นรนอย่างหนักกว่าจะฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินปี 2551 สภาคองเกรสต้องตัดสินใจเพิ่มเพดานหนี้เดี๋ยวนี้ ก่อนที่การฟื้นตัวที่พยายามทำมาจะสูญเปล่า" นายเจค็อบ ลิว รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าว
รายงานระบุว่า แค่ความเป็นไปได้ที่สหรัฐอาจผิดนัดชำระหนี้ก็อาจทำลายตลาดการเงินและเศรษฐกิจได้แล้ว ซึ่งเป็นอันตรายต่อภาคธุรกิจและครัวเรือนในสหรัฐ โดยความมั่งคั่งของครัวเรือนที่ดิ่งลง ต้นทุนภาคธุรกิจและครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น และความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่หดตัวลง ต่างเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
"หากสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ เศรษฐกิจประเทศอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยที่เลวร้ายยิ่งกว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่" รายงานระบุ
"เงินดอลลาร์สหรัฐและตราสารเงินกู้ของรัฐบาลสหรัฐเป็นหัวใจของระบบการเงินโลก ดังนั้นหากหนี้ชนเพดานจนทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ รากฐานตลาดการเงินอาจสั่นคลอนอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2551 ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่"
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังระบุว่าหากการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐยังยืดเยื้อต่อไป เศรษฐกิจสหรัฐอาจเปราะบางมากขึ้นต่อผลกระทบจากยอดหนี้ที่ชนเพดาน เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดภาวะซัตดาวน์ สำนักข่าวซินหัวรายงาน