“รัฐบาลสหรัฐจะยังคงจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นสำหรับหนี้สินของประเทศ แม้ว่าเกิดกรณีที่ไม่มีการปรับเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งจะทำให้ไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิต" มูดีส์ระบุในรายงานฉบับหนึ่ง
รัฐบาลกลางสหรัฐได้ปิดหน่วยงานราชการบางส่วนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ขณะที่พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณแก่รัฐบาลสำหรับปีงบประมาณ 2557
ในวันที่ 17 ต.ค.เป็นกำหนดเส้นตายที่สำคัญครั้งต่อไป โดยเป็นวันสุดท้ายที่กระทรวงการคลังสหรัฐประเมินว่ารัฐบาลกลางสหรัฐจะมีเงินพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ
รัฐบาลสหรัฐได้มีหนี้สินชนเพดานที่ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา และนับแต่นั้น รัฐบาลก็ได้ใช้ “มาตรการพิเศษต่างๆ" เพื่อระดมทุนและชำระค่าใช้จ่ายของรัฐบาล แต่ในวันที่ 17 ต.ค.นี้ รัฐบาลจะเหลือเงินสดในมือเพียง 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่รายจ่ายรายวันของรัฐบาลมีจำนวนสูงถึง 6.0 หมื่นล้านดอลลาร์
มูดีส์อธิบายว่าเพดานหนี้สินของรัฐบาลจะจำกัดรายจ่ายของรัฐบาลไว้กับจำนวนรายได้ที่จะมีเข้ามา และไม่ได้ห้ามรัฐบาลชำระหนี้สิน
หากไม่มีการเพิ่มเพดานหนี้ก่อนวันที่ 17 ต.ค. รัฐบาลจะต้องจัดลำดับความสำคัญของรายจ่ายต่างๆ โดยรายงานของมูดีส์ระบุว่า “ในความคิดเห็นของเรา รัฐบาลมีแนวโน้มอย่างมากที่จะให้ความสำคัญกับการจ่ายดอกเบี้ย เนื่องจากผลกระทบรุนแรงที่อาจจะมีขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้จะส่งผลต่อตลาดการเงินในสหรัฐและทั่วโลก"
มูดีส์ตั้งข้อสังเกตว่า การชำระดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ต่างๆมีกำหนดชำระ 2 ครั้งใน 1 เดือน คือในวันที่ 15 และวันสุดท้ายของทุกๆเดือน โดยหลังจากวันที่ 17 ต.ค. กำหนดวันชำระดอกเบี้ยครั้งแรกก็คือวันที่ 31 ต.ค. ซึ่งจะครบกำหนดชำระดอกเบี้ยเพียง 5.9 พันล้านดอลลาร์
“ดังนั้น การผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาลจึงไม่มีความเป็นไปได้ในทางเทคนิคจนกว่าจะถึงกำหนดชำระในวันที่ 31 ต.ค." มูดีส์ระบุ
“นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากจำนวนเงินที่ต้องชำระที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างน้อย ก็คาดว่าไม่มีแนวโน้มที่จะมีการผิดนัดชำระหนี้แต่อย่างใด"
สำหรับประเด็นการปิดหน่วยงานรัฐบาลหรือการชัตดาวน์ที่ยังดำเนินต่อไปนั้น มูดีส์ระบุว่า “การชัตดาวน์จะห้ามการใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด แต่ไม่ปิดกั้นการใช้จ่ายที่จำเป็นหรือการชำระหนี้ เช่น ดอกเบี้ยและเงินต้นของพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลสหรัฐจะยังคงสามารถจ่ายได้"