นางอินทราวาตี กล่าวก่อนที่การประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลกจะเริ่มขึ้นที่วอชิงตันในวันนี้ว่า “สหรัฐยังคงเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายใหญ่ที่สุดในโลก และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสหรัฐ สิ่งนั้นจะส่งผลต่อประเทศกำลังพัฒนาทั้งหมด"
นางอินทราวาตีกล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า ประเด็นเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐได้รับความสนใจจากทั่วโลกอย่างชัดเจน และทุกคนยังให้ความสนใจในประเด็นที่ว่าความขัดแย้งด้านงบประมาณระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันของสหรัฐ จะได้รับการแก้ไขได้ในเวลาที่เหมาะสม
นายจาค็อบ ลิว รมว.คลังของสหรัฐกล่าวกับสภาคองเกรสว่า ขณะที่การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐได้ดำเนินมาเป็นวันที่ 10 แล้วนั้น สหรัฐก็จะเผชิญกับเส้นตายที่สำคัญอีกครั้งในเรื่องงบประมาณ โดยรัฐบาลกลางจะมีหนี้สินชนเพดานที่ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในวันที่ 17 ต.ค.นี้ และความล้มเหลวในการเพิ่มเพดานหนี้จะนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ที่ถือเป็นความหายนะ
ความขัดแย้งเรื่องงบประมาณที่ยืดเยื้อของสหรัฐจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งสูงขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งจะโยกย้ายเม็ดเงินจากโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อลดความยากจนและส่งเสริมความรุ่งเรืองร่วมกัน มาเป็นการชำระหนี้
นางอินทราวาตีกล่าวว่า อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกยังมีข่าวดีอยู่บ้าง เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปกำลังกระเตื้องขึ้น แต่ในทางตรงข้าม “เราเป็นกังวลอย่างมาก" เกี่ยวกับการฟื้นตัวที่เปราะบางของเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางปัญหาการคลังสหรัฐ
นอกจากนี้ นางอินทราวาตียังกล่าวเสริมว่า WBG มีพันธสัญญาต่อเป้าหมายหลักเพื่อหยุดความยากจนที่รุนแรงภายในปี 2573 และส่งเสริมความรุ่งเรืองร่วมกัน โดย WBG พร้อมจะช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการเสริมความแข็งแกร่งด้านกรอบนโยบาย เพื่อนำไปสู่การขยายตัวที่แข็งแกร่งและครอบคลุม สำนักข่าวซินหัวรายงาน