สำนักคณะรัฐมนตรีระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของครัวเรือนที่ประกอบด้วยสมาชิกอย่างน้อย 2 คน ปรับตัวลง 4.2 จุด จากเดือนก.ย. แตะที่ระดับ 41.2 ซึ่งดัชนีที่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าผู้มีมุมมองลบต่อเศรษฐกิจมีจำนวนมากกว่าผู้มีมุมมองบวก
รัฐบาลไม่ได้เปลี่ยนแปลงการประเมินพื้นฐานของดัชนีแต่อย่างใด โดยระบุว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภค “กำลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น" แต่ขณะเดียวกันก็เพิ่มเติมว่า ดัชนี “ร่วงลงอย่างมากในเดือนต.ค."
ผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ว่าจะปรับขึ้นอัตราภาษีการบริโภคของญี่ปุ่นขึ้นจาก 5% เป็น 8% ในเดือนเม.ย.ปีหน้า
ผู้เชี่ยวชาญบางรายเตือนว่า มาตรการภาษีอาจส่งผลเสียต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุน ซึ่งจะส่งผลสืบเนื่องให้เศรษฐกิจที่เพิ่งฟื้นตัวต้องหยุดชะงัก
ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ครัวเรือน 89.5% ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.7 จุดจากเดือนก.ย. คาดว่าราคาผู้บริโภคจะปรับตัวขึ้นในปีหน้า เนื่องจากต้นทุนด้านพลังงานและอาหารที่พุ่งขึ้น ท่ามกลางเงินเยนที่อ่อนค่าลง รวมถึงการขึ้นภาษีการขายตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้
โดยปกติแล้ว เงินเยนที่อ่อนค่าลงจะช่วยหนุนราคานำเข้าของประเทศ โดยญี่ปุ่นนำเข้าอาหารราว 60% และทรัพยากรพลังงานกว่า 90%
ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินการสำรวจภาคครัวเรือนจำนวน 8,400 ครัวเรือนในวันที่ 15 ต.ค. และมีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 5,940 ครัวเรือน สำนักข่าวเกียวโดรายงาน