มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 18.4% แตะที่ 5.9005 ล้านล้านเยน อันเนื่องมาจากการอ่อนค่าของเยน และยอดส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น 30.1% แต่ยังไม่เพิ่มขึ้นมากพอชดเชยการนำเข้า
กระทรวงระบุว่า เงินเยนอ่อนค่าลง 23.3% จากปีก่อน เมื่อเทียบกับดอลลาร์ มาอยู่ที่ 98.43 เยน/ดอลลาร์ในเดือนที่พ.ย.
โดยปกติ การอ่อนค่าของเยนจะเกื้อหนุนต่อการส่งออกเนื่องจากส่งผลให้สินค้าญี่ปุ่นมีราคาถูกลงในต่างประเทศและช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อแปลงเป็นเงินเยน ถึงแม้ว่าจะส่งผลให้ราคานำเข้าปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าในสัดส่วนที่สูงกว่า 90% ของอุปสงค์ในพลังงาน
ทั้งนี้ การส่งออกไปยังจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 33.1% แตะที่ 1.1426 ล้านล้านเยน ในขณะกที่การนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 19.4% แตะที่ 1.6797 ล้านล้านเยน ส่งผลให้ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าต่อจีน 5.371 แสนล้านเยน ลดลง 2.1%
ยอดส่งออกไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้น 21.2% แตะที่ 1.1313 ล้านล้านเยน ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 34.9% แตะที่ 6.472 แสนล้านเยน
ยอดส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น 19.4% แตะที่ 5.994 แสนล้านเยน ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 5.9% แตะที่ 6.654 แสนล้านเยน
อย่างไรก็ตาม ยอดการส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่น้อยกว่าการนำเข้า ส่งผลให้ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นแตะ 1.2929 ล้านล้านเยนในเดือนพ.ย. ทำสถิติสูงสุดสำหรับเดือนดังกล่าว
รายงานเบื้องต้นระบุว่า ยอดขาดดุลการค้าของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 35.1% จากปีก่อน ทำสถิติยอดขาดดุลประจำเดือนสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 นับตั้งแต่เริ่มบันทึกสถิติในปี 2522 และขาดดุลการค้าเป็นเดือนที่ 17 ติดต่อกัน
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นการรวบรวมจากตัวเลขการผ่านพิธีการของสำนักงานศุลกากร