โดยนายกวนให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เซี่ยงไฮ้ ซิเคียวริตี้ส์ นิวส์ ว่า “การแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินหยวนถือเป็นเรื่องที่ปกติ"
ทั้งนี้ ค่าเงินหยวนได้กลายเป็นประเด็นที่โดดเด่นหลังจากที่อัตราแลกเปลี่ยนได้ปรับตัวลงประมาณ 3.7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในช่วง 4 เดือนแรกของปี ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่จีนมียอดเกินดุลการค้าลดลง
นายกวนกล่าวว่า การอ่อนค่าถือเป็นเรื่องที่เป็นปกติ “ในประวัติศาสตร์การเงินระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบใด ก็ไม่มีการแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนเพียงทางเดียวโดยที่ไม่อ่อนค่าลง"
นับตั้งแต่การเริ่มปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนในปี 2548 จนกระทั้งถึงสิ้นปีที่ผ่านมา เงินหยวนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าเงินหยวนและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลอย่างแท้จริงเพิ่มขึ้น 32% และ 42% ตามลำดับ เขากล่าว
นายเต๋ากล่าวเสริมว่า เงินหยวนได้แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเพียงทางเดียวในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดแนวความคิดที่ว่า เงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
นายเต๋าแสดงความเห็นว่า การอ่อนค่าของเงินหยวนในระยะนี้มาจากการปฏิรูปกลไกเกี่ยวกับรูปแบบอัตราแลกเปลี่ยนของจีน ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพพื้นฐานของเงินหยวนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สมดุล และมีช่วงความผันผวนที่กว้างขึ้น โดยระบุว่า “การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินหยวนเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้"
สัญญาณบ่งชี้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การส่งออกและนำเข้าที่อ่อนแอ และข่าวกรณีการผิดนัดชำระหนี้ในจีน และจังหวะในการยกเลิกมาตรการผ่อนคลายที่เร็วขึ้นของสหรัฐ ต่างก็มีส่วนทำให้ค่าเงินหยวนมีความผันผวนมากขึ้น นายเต๋าระบุ
นายเต๋าคาดว่า ความผันผวนในทั้ง 2 ฝั่งของเงินหยวนจะกลายเป็นเรื่องปกติในอนาคตและอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น สำนักข่าวซินหัวรายงาน