แม้แนวโน้มช่วงขาลงเมื่อไม่นานมานี้ในตลาดหุ้นจีนสร้างความปั่นป่วนให้นักลงทุน แต่ก็ไม่ควรมีมุมมองลบเกี่ยวกับทิศทางของตลาดในอนาคต
ตลาดทุนจะกลับมาแข็งแกร่ง เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงปรับตัวดีขึ้น ตลาดมีสภาพคล่องสูง และหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินตอบสนองสถานการณ์ด้วยมาตรการที่เหมาะสม
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ รัฐบาลจีนตัดสินใจลดจำนวนหุ้นใหม่ที่จะออกสู่ตลาด ขณะที่เรียกร้องให้โบรกเกอร์ชั้นนำซื้อหุ้นจำนวนมากและให้คำมั่นที่จะระดมทุนผ่านทางหลายช่องทาง (ซึ่งรวมถึงการขอความช่วยเหลือจากธนาคารกลางจีน) เพื่อพยุงตลาด
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. โดยครั้งล่าสุดที่แบงก์ชาติจีนใช้มาตรการผ่อนคลายที่เด็ดขาดเช่นนี้ คือช่วงปลายปี 2551 เมื่อเกิดวิกฤตทางการเงินทั่วโลกอย่างหนัก
ตลาดได้ปรับตัวเลวร้ายลงนับตั้งแต่กลางเดือนมิ.ย. จากความวิตกเกี่ยวกับความต่อเนื่องของราคาหุ้นที่พุ่งขึ้น รวมทั้งการดำเนินงานของรัฐบาลเพื่อชะลอการซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้น
ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ได้ร่วงลงประมาณ 29% จากระดับสูงที่ 5,178.19 จุด ซึ่งทำไว้เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.
สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิของดัชนีสำคัญๆได้ปรับตัวลง (15 สำหรับดัชนี Hushen 300 และ 56 สำหรับดัชนี Small and Medium Enterprises Composite) ซึ่งบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงลดลงเกี่ยวกับมูลค่าที่สูงเกินไป
แม้การพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของตลาดโดยได้รับปัจจัยหนุนจากกระแสการเก็งกำไรนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย แต่การปล่อยให้ความวิตกกังวลครอบงำและบั่นทอนการขยายตัวของตลาดในอนาคตก็ก่อให้เกิดความเสียหายได้ไม่แพ้กัน
ตลาดทุนถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ และเป็นด่านหน้าในการจัดสรรทรัพยากรต่างๆ
เนื่องจากเศรษฐกิจจีนกำลังเข้าสู่ "ภาวะดุลยภาพใหม่" ที่เศรษฐกิจจะขยายตัวช้าลง แต่มีเสถียรภาพมากขึ้น ตลาดทุนจึงจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ ความพยายามต่างๆจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการสนับสนุนตลาดหุ้นที่เป็นธรรม เท่าเทียมและเปิดกว้าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้ ขณะที่จีนมุ่งมั่นสู่การขยายตัวที่ระดับสูงในระยะกลาง จึงควรดำเนินความพยายามต่อเนื่องเพื่อรับประกันว่าตลาดทุนของประเทศจะมีการพัฒนาในระยะยาวและมีเสถียรภาพ สำนักข่าวซินหัวรายงาน