ทั้งนี้ คูเวตเรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับจากอิหร่าน หลังเกิดเหตุการณ์โจมตีสถานทูตซาอุดิอาระเบียในกรุงเตหะราน และสถานกงสุลในเมืองมาชฮัด ซึ่งเป็นการต่อต้านซาอุดิอาระเบียที่ประหารชีวิตนักโทษคดีก่อการร้าย 47 ราย รวมถึง นิมร์ อัลนิมร์ อิหม่ามนิกายชีอะห์
เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของคูเวตเปิดเผยว่า "การกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดอนุสัญญานานาชาติอย่างชัดเจน อีกทั้งเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงว่าด้วยความมั่นคงและความปลอดภัยของภารกิจทางการทูตบนดินแดนดังกล่าว"
ส่วนซาอุดิอาระเบียประกาศยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านเมื่อวันอาทิตย์ หลังเกิดเหตุโจมตี
พันธมิตรของซาอุดิอาระเบียบางประเทศก็ปฏิบัติตามเช่นกัน โดยบาห์เรนและซูดานตัดความสัมพันธ์กับอิหร่าน ขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ประกาศลดระดับความสัมพันธ์
ด้านประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานีแห่งอิหร่านเปิดเผยว่า ซาอุดิอาระเบียไม่สามารถซุกซ่อน "อาชญากรรม" จากการสังหารอิหม่าม ด้วยการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านได้
ผู้นำอิหร่านกล่าวระหว่างการประชุมกับนายคริสเตียน เจนเซน รัฐมนตรีต่างประเทศของเดนมาร์กว่า เจ้าหน้าที่ซาอุดิอาระเบียไม่ควรตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์ของอัลนิมร์ด้วยการประหารชีวิต
นายรูฮานีกล่าวว่า "เราหวังว่าประเทศยุโรปที่อ่อนไหวต่อประเด็นสิทธิมนุษยชน จะทำหน้าที่ของตนในประเด็นดังกล่าวได้"
อย่างไรก็ดี ปธน.อิหร่านเน้นว่า อิหร่านกำลังหาทางสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่รวมถึงซาอุดิอาระเบียด้วย
แนวทางที่ดีที่สุดในการยุติข้อพิพาทคือการใช้วิธีทางการทูตและทางการเมือง โดยปธน.รูฮานีเสริมว่า สถานการณ์วิกฤตภายในภูมิภาคจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในบรรดาประเทศต่างๆ เพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย
ส่วนเมื่อวานนี้ เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวว่า ซาอุดิอาระเบียจะเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพที่จะถึงนี้ระหว่างเยเมนและซีเรีย แม้ว่าได้ตัดสัมพันธ์กับอิหร่านแล้วก็ตาม
นายอับดุลลาห์ อัล-มูอัลลิมี เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำยูเอ็นเปิดเผยว่า ข้อพิพาทต่างๆ "ไม่ควรมีผลกระทบใด" ต่อการที่ซาอุดิอาระเบียเข้าร่วมการเจรจา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขึ้นในเดือนนี้
นายอัล-มูอัลลิมียังเรียกร้องให้อิหร่าน "หยุด" แทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลาง โดยระบุว่า "เราหวังว่าอิหร่านจะใช้แนวทางเชิงบวกมากยิ่งขึ้น"
นอกจากนี้ ทูตซาอุดิอาระเบียยังกล่าวว่า ทั้งสองประเทศ "ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ" แต่สิ่งที่แบ่งแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกันคือการเข้ามาแทรกแซงของอิหร่าน อันเนื่องมาจากการสนับสนุนองค์กรต่างๆ ในประเทศอื่นๆ เช่น กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ในเลบานอน และคณะบริหารของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดในซีเรีย
นายอัล-มูอัลลิทิ้งท้ายว่า ซาอุดิอาระเบียนั้น "มีเพียงความเคารพ" ต่อวัฒนธรรมเก่าแก่ของอิหร่านเท่านั้น เนื่องจากทั้งสองชาติตั้งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน และมีศาสนาเดียวกัน สำนักข่าวซินหัวรายงาน