ทั้ง 2 ประเทศได้ลงนามในข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการให้ความร่วมมือด้านศักยภาพการผลิต หลังจากที่กษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ อัล ซาอัด ทรงเจรจากับประธานธิบดีสี จิ้นผิง โดยทั้ง 2 ประเทศจะร่วมมือกันในแนวคิดริเริ่มโครงการพื้นที่และเส้นทางเศรษฐกิจของจีน (Belt and Road Initiative)
"ผมเชื่อมั่นว่า ความไว้วางใจกันอันลึกซึ้งนี้จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ด้านผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ อีกทั้งจะช่วยอำนวยความสะดวกและขยายผลประโยชน์ร่วมกันของเรา ในกิจการระหว่างประเทศและภูมิภาค" นายสี จิ้นผิง กล่าว
กษัตริย์ซัลมานตรัสว่า จีนและซาอุดิอาระเบียจะได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์นี้ และซาอุดิอาระเบียจะสนับสนุนแนวคิดริเริ่มโครงการพื้นที่และเส้นทางเศรษฐกิจของจีนด้วย
ทั้งนี้ แนวคิดริเริ่มโครงการพื้นที่และเส้นทางเศรษฐกิจของจีน (Belt and Road Initiative) หมายถึง การเชื่อมโยงทางบก และการเชื่อมโยงทางทะเล แห่งศตวรรษที่ 21 อันเป็นข้อเสนอที่ผลักดันโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อปี 2557 เพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อและการพัฒนาในระดับภูมิภาค
ผู้นำของทั้ง 2 ประเทศต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะส่งเสริมการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ ขยายความร่วมมือด้านแผนพัฒนาต่างๆ สร้างความร่วมมือด้านพลังงานที่มั่นคงในระยะยาว รวมถึงส่งเสริมการหารือระหว่างอารยธรรม อีกทั้งได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมืออันครอบคลุมถึงภาคพลังงาน, การสื่อสาร, สภาพแวดล้อม, วัฒนธรรม, การบินและอวกาศ วิทยาศาสตร์ รวมถึงเทคโนโลยีด้วย
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศยังให้คำมั่นที่จะผลักดันธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) ซึ่งจีนเป็นผู้ริเริ่ม ให้เป็นรากฐานทางด้านการเงินที่จะได้รับประโยชน์ด้วยการทุกฝ่าย เพื่อปูทางให้การเชื่อมต่อในระดับภูมิภาคได้รับการพัฒนายิ่งขึ้นไป
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีจีนยังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดของซาอุดิอาระเบียจากกษัตริย์ซัลมานอีกด้วย
ซาอุดิอาระเบียเป็นผู้จัดส่งน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของจีน อีกทั้งยังเป็นหุ้นส่วนทางการค้ารายใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันตกและแอฟริกาด้วย สำหรับจีนนั้นได้กลายมาเป็นหุ้นส่วนทางการค้ารายใหญ่ที่สุดของซาอุดิอาระเบียในปี 2556
โดยมูลค่าทางการค้าของทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ 6.91 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2557 เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปี 2533 ซึ่งเป็นปีที่ทั้งสองประเทศเริ่มมีความสัมพันธ์ทางการฑูตเป็นครั้งแรก สำนักข่าวซินหัวรายงาน