ผลสำรวจดังกล่าวซึ่งจัดทำขึ้นในช่วงวันที่ 3-7 ก.พ. ระบุว่า ชาวอเมริกัน 50% มองว่า จีนเป็นประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก โดยอีก 37% เชื่อว่าสหรัฐเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจอันดับ 1
ในปี 2543 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเฟื่องฟู ชาวอเมริกันจำนวนกว่า 2 ใน 3 มองว่า สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ ในขณะที่ชาวอเมริกัน 16% มองว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับที่ 2 และจีนอยู่ในอันดับที่ 3 โดยมีชาวอเมริกัน 10% มองว่าเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ในการทำแบบสำรวจครั้งถัดไปเมื่อปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเศรษฐกิจจีนกำลังเติบโตขึ้นถึง 10% ต่อปี ส่งผลให้ชาวสหรัฐถึง 40% มองว่าจีนเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ ในขณะที่ชาวอเมริกันอีก 33% มองว่าสหรัฐยังเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ ซึ่งภายในปี 2554 ชาวสหรัฐส่วนใหญ่มองว่าจีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1
ทั้งนี้ ไม่ว่าจีนหรือสหรัฐจะเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจประเด็นดังกล่าวก็ไม่มีการตัดสินแบบเด็ดขาด โดยข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ของสหรัฐในปี 2557 มีมูลค่าราว 17.348 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสถติแห่งชาติจีนระบุว่า มูลค่าจีดีพีในปีเดียวกันของจีนอยู่ที่ 63.591 ล้านล้านหยวน (9.740 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)
แม้ว่าจีดีพีของจีนจะสูงกว่าจีดีพีสหรัฐอยู่เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ได้ประกาศให้จีนเป็นประเทศที่มีกำลังการซื้อสูงสุด
ในขณะเดียวกัน ผลสำรวจจากแกลลัพก็ระบุด้วยว่า ชาวอเมริกันคาดการณ์กันว่าสหรัฐจะขึ้นมาเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจภายใน 20 ปี โดยผลสำรวจดังกล่าวระบุว่า ชาวอเมริกันกว่า 44% เชื่อว่าสหรัฐจะขึ้นมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจอันดับ 1 ในอีก 20 ปีข้างหน้า ในขณะที่อีก 34% เชื่อว่าจะจะยังคงเป็นผู้นำด้านเศณษฐกิจ
ความคิดเห็นของชาวอเมริกันเริ่มที่จะผลิกผันมาตั้งแต่ในปี 2554-2555 ซึ่งชาวอเมริกันหันมามองว่าจีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจมากกว่าสหรัฐ โดยระยะเวลาดังกล่าวก็ถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเมื่อนับจากปี 2543 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวสหรัฐมองว่าประเทศตนเป็นอันดับ 1 ด้านเศรษฐกิจ สำนักข่าวซินหัวรายงาน