โพลล์ชี้ชาวอเมริกันไม่พอใจรัฐบาลและห่วงสภาพเศรษฐกิจประเทศที่สุด

ผลสำรวจดังกล่าวเริ่มขึ้นในฤดูกาลเลือกตั้งซึ่งชาวอเมริกันเบื่อหน่ายต่อสภาวะเศรษฐกิจอันซบเซาของประเทศที่เกิดจากการบริหารงานของรัฐบาลเต็มที รวมถึงรู้สึกว่าประเทศชาตินั้นถูกบริหารมาแบบผิดทาง

จากการสำรวจพบว่า 17% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจมากที่สุด และ 15% รู้สึกไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งประเด็นในการสำรวจนั้นมีทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับ การตรวจคนเข้าเมือง, การดูแลสุขภาพ, ความสัมพันธ์ด้านเชื้อชาติ, การก่อการร้าย, การเลือกตั้ง และการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลาง

ทั้งนี้ มีเพียง 5% ของผู้ตอบแบบสอบถามเท่านั้นที่แสดงความกังวลใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดตั้งแต่แกลลัพ โพลล์ เริ่มทำการสำรวจในประเด็นนี้เมื่อปี 2544 ทว่าก็ยังถือเป็นอัตราส่วนที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเด็นอื่นๆ ทั้งนี้โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ระดับ 2% ในบางโอกาส โดยเฉพาะหลังจากช่วงการเลือกตั้ง

ผลสำรวจชี้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามหลายรายกล่าวถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครตัวเต็งจากพรรครีพับลิกัน รวมถึงบทบาทของเขาที่ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้ง ซึ่งผู้ที่โหวตให้ประเด็นการเลือกตั้งเป็นปัญหาสำคัญที่สุดมักเป็นผู้ที่สนับสนุนพรรคเดโมแครต หรือไม่สนับสนุนฝ่ายใดเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ยังพบว่าพรรคการเมืองให้ความสำคัญต่อสภาวะเศรษฐกิจแตกต่างกันไป

โดย 28% ของผู้ที่สนับสนุนพรรคริพับลิกันแสดงความเห็นว่าเศรษฐกิจเป็นปัญหาสำคัญที่สุด ซึ่งรวบรวมมาจากผลการสำรวจในเดือน ก.พ. ที่มีสัดส่วนสูงกว่า 16% และ 8% ในเดือน ธ.ค. ในทางตรงกันข้าม มีผู้ที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดเป็นพิเศษเพียง 16% และผู้ที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตเพียง 12% เท่านั้นที่มองว่าเศรษฐกิจเป็นปัญหาสำคัญที่สุด ซึ่งก็มีความสอดคล้องกับช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผู้ที่สนับสนุนพรรคริพับลิกันกังวลว่า สภาวะเศรษฐกิจอาจจะสะท้อนให้เห็นในข้อตกลงจากวาทกรรมของผู้ลงสมัครชิงชัยประธานธิบดีของพรรคเกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่อเมริกาต้องเผชิญ