จิม โรเจอร์ส นักลงทุนชาวสหรัฐและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในต่างประเทศ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า เงินหยวนของจีนมีความแข็งแกร่ง เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน
นายโรเจอร์สให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวในสิงคโปร์ว่า จีนเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และเงินหยวนนับเป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมาตั้งแต่ปี 2548
"ผมถือครองเงินหยวนและไม่ขายออกไป ผมมองว่าสินทรัพย์ก็ตามที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าสิ่งอื่นๆมาเป็นเวลา 11 ปีติดต่อกันก็อาจจะมีการปรับฐานเป็นธรรมดา หากเงินหยวนจะอ่อนค่าลงสักระยะ ผมก็ยังจะซื้อเพิ่ม" โรเจอร์สกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวตั้งคำถามกี่ยวกับความผันผวนในระยะสั้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมาของเงินสกุลหยวน นายโรเจอร์สกล่าวว่า "มีคนเทขายทำกำไรในทุกที่ทั่วโลก หลายคนก็คิดผิดและเสียใจ ดังนั้นอย่าไปใส่ใจพวกเขาเลย"
นายโรเจอร์สซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน Quantum Fund และผู้ก่อตั้งดัชนี Rogers International Commodities Index ยังสนับสนุนขั้นตอนการทำให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินสากลอีกด้วย
"ไม่มีประเทศใหนที่สามารถเป็นผู้นำโลกได้โดยที่ไม่สามารถแปลงสกุลเงินได้อย่างอิสระและเป็นตลาดแบบเปิด" เขากล่าว "การทำให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินสากลจะช่วยให้จีนได้รับผลประโยชน์อีกมหาศาล"
ในส่วนของโครงการ Belt and Road Initiative ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนนั้น นายโรเจอร์สกล่าวว่า "ลักษณะทางภูมิศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากในประวัติศาสตร์ การขนส่งและการสำรวจได้เปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์เมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา ทางรถไฟ โทรเลข และโทรศัพท์ก็เปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์เช่นเดียวกัน ในปัจจุบัน โครงการ Belt and Road คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นในทางภูมิศาสตร์ ซึ่งจะส่งผลให้หลายพื้นที่ในเอเชียและยุโรปเปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เมียนมาร์ หลายพื้นที่จะเข้าสูยุคเฟื่องฟู"
ส่วนในเรื่องอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ 6.9% ในปีนี้ของจีน นายโรเจอร์สระบุว่า "ทุกประเทศจะมีอัตราการขยายตัวที่ชะลอตัวลงในช่วงอีก 2-3 ปีข้างหน้า อันเนื่องมาจากปัญหาหนี้สินที่ยาวนานและมาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่มีต้นฉบับมาจากสหรัฐและมีการลอกเลียนแบบกันในเกือบทุกประเทศอุตสาหกรรม"
"ลูกค้ารายใหญ่ของจีนต่างก็มีปัญหา ดังนั้นภาคเศรษฐกิจของจีนที่ดำเนินการเกี่ยวกับประเทศที่มีปัญหาก็จะมีปัญหาอันเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาเช่นเดียวกัน"
"เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงเกินไป เช่น อสังหาริมทรัพย์ในบางพื้นที่ก็จะประสบกับปัญหาโดยปริยาย บริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้วยหนี้สินเป็นจำนวนมากจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก แต่บางบริษัทในจีนก็จะยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เพราะหลายๆบริษัทกำลังพยายามจะการปลดปล่อยลดมลภาวะลง" นายโรเจอร์สกล่าว พร้อมกับเรียกร้องให้จีนพัฒนาในด้านนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว
"ทุกประเทศจำเป็นต้องมีนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในทุกๆเรื่องหรือไม่ก็กลายเป็นประเทศที่ล้าหลัง สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดรวมไปถึงการเงินและการลงทุนซึ่งหลายประเทศมีนวัตกรรมที่ก้าวหน้ามากกว่าเนื่องจากเป็นแบบเปิดและมีการแข่งขันกันมากกว่า และจีนก็กำลังเดินหน้าไปในทิศทางนี้" เขากล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงาน