แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ไฟเซอร์ อิงค์ บริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ ได้มีมติยุติข้อตกลงในการควบรวมกิจการกับอัลเลอร์แกน พีแอลซี บริษัทผู้ผลิตโบท็อกซ์จากไอร์แลนด์ โดยคาดว่าเป็นผลจากการที่สหรัฐเพิ่งประกาศระเบียบการใหม่เพื่อจัดการกับกรณีการควบรวมกิจการเพื่อเลี่ยงภาษี
อย่างไรก็ดี ไฟเซอร์ยังจำเป็นต้องชำระค่าธรรมเนียมการดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าวกับอัลเลอร์แกนเป็นจำนวน 400 ล้านดอลลาร์
เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ไฟเซอร์ และอัลเลอร์แกน ได้ประกาศบรรลุข้อตกลงควบรวมกิจการมูลค่า 1.60 แสนล้านดอลลาร์ในการก่อตั้งบริษัทเวชภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นข้อตกลงควบรวมกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดในธุรกิจเวชภัณฑ์
เนื่องจากข้อตกลงนี้มีมูลค่ามหาศาล ทั้งสองบริษัทจึงถูกเพ่งเล็งพิเศษ โดยเมื่อไม่นานมานี้ทางการสหรัฐได้ประกาศระเบียบการใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เคยประกาศไปแล้วเมื่อปี 2557 เพื่อจัดการกับกรณีที่มีบริษัทจงใจย้ายสถานที่ตั้งของบริษัทไปยังประเทศอื่นที่เรียกเก็บภาษีต่ำกว่า เพื่อเลี่ยงการเก็บภาษีของสหรัฐ
อัตราภาษีนิติบุคคลของสหรัฐนั้นสูงถึง 35% ซึ่งนับว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหมด และยังคิดภาษีจากผลกำไรของบริษัทในต่างประเทศอีกด้วย การควบรวมกิจการจึงเป็นวิธีที่บริษัทสหรัฐใช้เพื่อลดภาระภาษี โดยรวมกิจการกับบริษัทต่างประเทศ แล้วเปลี่ยนไปตั้งบริษัทในประเทศที่จัดเก็บภาษีต่ำกว่า
ปัจจุบันอัตราภาษีที่ไฟเซอร์ต้องจ่ายให้กับรัฐบาลสหรัฐนั้น อยู่ที่ 25% ด้วยเหตุนี้ ความพยายามที่จะลดภาระการจ่ายภาษีของไฟเซอร์จึงกลายเป็นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดในการควบรวมกิจการครั้งนี้ ซึ่งความพยายามดังกล่าวของไฟเซอร์ยิ่งเด่นชัดขึ้น เมื่อมองดูท่าทีของนายเอียน รีด ซีอีโอไฟเซอร์ ที่เปิดเผยเมื่อปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมาว่า ภาษีคืออุปสรรคที่ขัดขวางความสามารถในการแข่งขันของบริษัทสหรัฐ
ขณะเดียวกัน อัตราภาษีนิติบุคคลของไอร์แลนด์ซึ่งเป็นที่ตั้งบริษัทอัลเลอร์แกน อยู่ที่ 12.5% ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าดึงดูดใจสำหรับการควบรวมกิจการเพื่อลดภาระภาษี และหมายความว่าการควบรวมกิจการกับอัลเลอร์แกนอาจทำให้ภาษีที่ไฟเซอร์ต้องเสียลดลงเกือบเท่าตัวมาอยู่ที่ประมาณ 17% ถึง 18%
ทั้งนี้ คาดว่าไฟเซอร์จะออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการอย่างเร็วสุดภายในวันนี้