นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีฉายา"พ่อมดการเงิน" กล่าวเตือนว่า การขยายตัวของจีนที่เกิดจากการก่อหนี้ จะทำให้จีนอยู่ในสภาพที่เหมือนกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติการเงินในปี 2008
"สิ่งนี้เหมือนกันในแง่ที่เศรษฐกิจได่รับการกระตุ้นจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ ซึ่งในที่สุดจะทำให้สินเชื่อเหล่านี้ขยายตัวจนอยู่ในภาวะไม่ยั่งยืน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์" เขากล่าว
"สิ่งนี้เกิดขึ้นในสหรัฐ โดยนายพอล โวลเกอร์ (อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ) มองเห็นในปี 2005/2006 ว่าจะเกิดวิกฤติการเงิน และสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นในปี 2007/2008"
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า หนี้ภาคเอกชนของจีนอยู่ที่ระดับ 160% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนแสดงความกังวล
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุเตือนว่า เงินกู้ของภาคเอกชนในธนาคารราว 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ของจีน เป็นเงินกู้ของบริษัทที่ไม่มีเงินพอที่จะจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งหากไม่มีการแก้ไข ก็จะทำให้ธนาคารขาดทุนเป็นจำนวนเงินเท่ากับ 7% ของจีดีพี