บรรดาผู้นำด้านการเกษตรของประเทศในกลุ่ม G7 ได้แก่ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสหรัฐ ได้ให้คำมั่นที่จะยกระดับความมั่นคงอุปทานอาหารในการประชุมช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นความท้าทายและเป็นโอกาสของญี่ปุ่น ประเทศซึ่งจำเป็นต้องปฏิรูปภาคการเกษตร เพื่อปรับปรุงสถานการณ์ความเพียงพอของอาหารที่อยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน
การประชุมรัฐมนตรีเกษตรกลุ่ม G7 ได้เริ่มขึ้นเมื่อวันเสาร์และเสร็จสิ้นลงเมื่อวานนี้ โดยการประชุมจัดขึ้นที่เมืองนิอิกาตะ ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งของญี่ปุ่นและเป็นพื้นที่ปลูกข้าวขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
ทั้งนี้ รัฐมนตรีและผู้แทนเกษตรกลุ่ม G7 เห็นพ้องกันที่จะส่งเสริมมาตรการรับมือประชากรสูงวัยภาคการเกษตรของญี่ปุ่น ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในโลก และยังเน้นย้ำความสำคัญของการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เพื่อเพิ่มการผลิตอาหารให้ตอบสนองอุปสงค์ประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ผลผลิตทางการเกษตรโลกจะต้องเพิ่มขึ้นประมาณ 60% ภายในปี 2593 เนื่องจากจำนวนประชากรโลกมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% สู่ระดับ 9.2 พันล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ คาดว่า ประเทศสมาชิก G7 รวมถึงประเทศมหาอำนาจอื่นๆจะออกมาตรการเพิ่มอุปทานอาหาร ด้วยผลิตภาพทางการเกษตรที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่าสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาถึง 2 เท่า
"จากการที่ G7 ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ผมคิดว่าเราจะมีส่วนร่วมในความมั่นคงอุปทานอาหารโลกได้" นายฮิโรชิ โมริยะมะ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรญี่ปุ่น ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม เปิดเผยในการแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุม สำนักข่าวเกียวโดรายงาน