อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยุโรปอาจเป็นธุรกิจแรกๆที่ได้รับกระทบจากการร่วงลงของเงินปอนด์ ซึ่งได้ดิ่งลงทำสถิติต่ำสุดในรอบ 31 ปี หลังจากที่อังกฤษตัดสินใจออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ข้อมูลทางสถิติระบุว่า จุดหมายปลายทางในต่างประเทศกว่าสองในสามของชาวอังกฤษนั้น อยู่ในสหภาพยุโรป โดยสเปน ฝรั่งเศส อิตาลี และเยอรมนี เป็นประเทศที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ
สมาคมท่องเที่ยวแห่งอิตาลี (Federturismo) เปิดเผยว่า อิตาลีเพียงประเทศเดียวก็มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษประมาณ 12 ล้านคนในแต่ละปี โดยนับเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าอิตาลีเป็นส่วนใหญ่
กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหาร เช่นเดียวกับตัวแทนท่องเที่ยวอื่นๆ ล้วนเชื่อว่าชาวอังกฤษจะเลือกอยู่ในสหภาพยุโรป ทว่ากลับต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อท้ายที่สุดอังกฤษเลือกที่จะถอนตัว
ในขณะเดียวกัน สเปนก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากนักท่องเที่ยวราวหนึ่งใน 5 ที่เดินทางเข้ามายังสเปนนั้นเป็นชาวอังกฤษ ขณะที่ตัวแทนท่องเที่ยวในกรุงลอนดอนต่างพากันคาดว่า เอเจนซี่จะต้องเผชิญกับความยากลำบากในปีต่อๆไป
นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงของเงินปอนด์จะทำให้ชาวอังกฤษเสียเปรียบเรื่องการชำระเงินค่าที่พักและค่าท่องเที่ยวในต่างแดน
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรได้ลงประชามติออกจากสหภาพยุโรปเป็นสัดส่วนเกือบ 52% หลังจากที่ได้เป็นสมาชิกมาเป็นเวลาถึง 43 ปี
เงินปอนด์และยูโรได้รับผลกระทบอย่างหนักหลังเหตุการณ์ดังกล่าว เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกกังวลต่อผลกระทบของ Brexit ที่มีต่อเศรษฐกิจอังกฤษและยูโรโซน โดยเงินปอนด์ได้ร่วงลงถึง 10% เทียบดอลลาร์สหรัฐ
นายโรเบิร์ต ซาเวจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ CC Track Solutions กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า เงินปอนด์ "น่าจะยังคงเผชิญกับอุปสรรคต่อไปเนื่องด้วยความไม่แน่นอนทางการเมืองและการขยายตัว"
ก่อนหน้าที่การลงประชามติจะเปิดฉากนั้น นายจอร์จ โซรอส นักลงทุนระดับมหาเศรษฐีพันล้าน ฉายาพ่อมดการเงิน ได้คาดการณ์ว่า Brexit จะก่อให้เกิดหายนะกับเศรษฐกิจอังกฤษ พร้อมคาดว่าเงินปอนด์น่าจะร่วงลงไปถึง 15-20%
นอกเหนือจากผลกระทบต่อวงการท่องเที่ยวยุโรปแล้ว กรุงลอนดอนยังเสี่ยงที่จะสูญเสีย "EU passport" ซึ่งอนุญาตให้ธนาคารต่างๆของอังกฤษสามารถดำเนินการกับธนาคารยุโรปได้อย่างเสรีด้วย สำนักข่าวซินหัวรายงาน